48 Park Avenue, East 21st Street, Apt. 304
London NY 10016
Email: youremail@site.com
Phone: +1 408 996 1010
Fax: +1 408 996 1010
เขียน : เซียนเหยียน
ปก : อีโยว
แปล : ซูเซียง
ราคา : 185 บาท
วันวางจำหน่าย : ธันวาคม 2559
เพื่อคลี่คลายเงื่อนงำความเป็นมาของตัวเอง “ซูเหยียน” จึงอำลาจากอาจารย์ เพื่อเดินทางค้นหาบิดาบังเกิดเกล้า แต่เพิ่งออกจากหุบเขาหมาดๆ “เจ้าเหมียว” …สัตว์เลี้ยงที่เขาฟูมฟักมาตั้งแต่แบเบาะดันถูกจับตัวไป! ไปอยู่กับใครไม่ว่า ดันไปตกอยู่ในกำมือของนายท่านแซ่ตี๋ เพื่อช่วยเจ้าเหมียวออกมา เขากล้ำกลืนความอัปยศแฝงกายเข้าไปในคฤหาสน์สกุลตี๋ ชีวิตพลิกผันน่าสงสาร ต้องตกอับเป็นบ่าวรับใช้ แล้วเขาที่ต้องออกตามหาบิดา จะอยู่เป็นบ่าวรับใช้คฤหาสน์สกุลตี๋ได้อย่างไร?! เอาเถิด…เพื่อเจ้าเหมียวแล้ว เป็นไงเป็นกัน! ที่น่ากลุ้มใจกว่าคือยังไม่ทันได้ช่วยเจ้าเหมียวออกมา ก็ถูกวางยาสุขโอสถแห่งลัทธิมารชั่วร้ายไปพร้อมกับ “ตี๋เยวี๋ยนฮว่า” ที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือ…เขาไม่ใช่คู่มือของหมอนั่น แถมยังถูกตี๋เยวี๋ยนฮว่าจับกินจนไม่เหลือซาก แถมยังพูดเสียสวยหรูว่า “ร่วมด้วยช่วยกันถอนพิษ” แล้วว่าอะไรนะ? เจ้าปีศาจราคะที่สมควรตายนี่เป็นประมุขน้อยแห่งลัทธิหนึ่งฟ้า หนำซ้ำยังรู้ที่อยู่ของบิดาเขา! เฮ้อ~ เรื่องราวชักวุ่นเข้าไปทุกทีแล้วสิน่า…
อัพเดทเมื่อวันที่ : 23 ธันวาคม 2559
ณ หุบเขาหมอเทวดา ที่ตอนนี้ยังคงเป็นหนึ่งในสถานที่ลึกลับที่สุดในยุทธภพ ล่ำลือกันว่าภายในหุบเขาเพาะปลูกพืชพรรณธัญยาสมุนไพรแปลกประหลาดนานาชนิด แถมกลิ่นสมุนไพรยังฉุนโชยโอบล้อมหุบเขาตลอดทั้งปี และประมุขแต่ละรุ่นที่อาศัยอยู่ในนี้ ล้วนแต่มีอายุยืนยาวร้อยกว่าปีทั้งสิ้น
‘เซวียนหยวนเช่อ’ คือประมุขคนปัจจุบันและยังเป็นพระปิตุลา (1) ของฮ่องเต้อีกด้วย ประมุขรุ่นก่อนพาเขาเข้ามาในหุบเขาเพื่อศึกษาร่ำเรียนวิชาแพทย์ตั้งแต่ยังเยาว์วัย ไม่เพียงได้รับการสืบทอดวิชาการแพทย์ทั้งหมด ยังได้รับการถ่ายทอดวิชาฝีมืออีกด้วย
สถานที่ตั้งของหุบเขาหมอเทวดานั้นถูกอำพรางอย่างเร้นลับแม้ภายนอกหุบเขาจะมีหิมะตกให้อากาศหนาวเหน็บทว่าภายในหุบเขากลับมีสภาพอากาศราวกับฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี
หลายปีมานี้สองอาจารย์กับศิษย์อาศัยอยู่ภายในหุบเขาด้วยกันผู้เป็นอาจารย์นั้นคือเซวียนหยวนเช่อ ส่วนเด็กหนุ่มที่อยู่ร่วมกับเขามาหลายปีคือลูกศิษย์ของเขานามว่า… ‘ซูเหยียน’
ภายใต้แสงตะวันสาดส่องพรั่งพรายเด็กหนุ่มเรือนร่างโปร่งระหงในอาภรณ์สีเหลืองผู้หนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นดินเขากำลังเด็ดสมุนไพรตรงหน้าอย่างระมัดระวังพื้นที่ว่างเปล่าด้านข้างไม่ไกลมีเสือขาวตัวใหญ่นอนหมอบอยู่มันหรี่ตาลงท่ามกลางแสงตะวันจ้า
รูปร่างหน้าตาเด็กหนุ่มราวสิบเจ็ดสิบแปดปีผมยาวสีดำขลับราวขนอีกาถูกมัดรวบขดเป็นมวยไว้กลางศีรษะปกเสื้อแบะอ้าเล็กน้อยแขนเสื้อยาวถูกม้วนทบขึ้นไปไว้กลางแขนเผยผิวขาวนวลเนียนราวกลับเกิดมาไม่เคยถูกแสงแดดแผดเผาจนดำคล้ำยังไงอย่างงั้น
เมื่อพิจมองถ้วนถี่จะเห็นขนตางอนยาวดวงตาเปล่งประกายดุจดวงดาวจมูกโด่งเป็นสันริมฝีปากแดงระเรื่อราวโลหิตลำคอที่โผล่พ้นปกเสื้อขึ้นมาเกลี้ยงเกลาราวกับแจกันกระเบื้องเคลือบขาวนวลรูปร่างหน้าตางดงามยากพบพานในใต้หล้า
“เจ้าเหมียวแอบอู้อีกแล้วนะข้าไม่ได้บอกให้เจ้าไปตักน้ำมาหรอกหรือ? ยังไม่รีบไปอีก!”
ซูเหยียนเอาดินที่ติดมากับรากสมุนไพรในมือออกหันศีรษะกลับไปพอดีกับที่เจ้าเสือขาวตัวใหญ่กำลังอ้าปากหาวดวงตาเรียวกรอกขึ้นรอบหนึ่ง
“โฮก———”
มันคำรามเสียงต่ำคราหนึ่งสะบัดแพรขนสีขาวบนร่างลุกขึ้นเดินวนรอบตัวเขาหนึ่งรอบจากนั้นออกวิ่งไปตามถนนเส้นน้อยอย่างว่าง่ายหายวับไปไม่เห็นเงาก่อนรีบกลับมาอยู่ข้างกายเขาอย่างรวดเร็วรอบแผงคอใหญ่เพิ่มถังน้ำแขวนไว้อันหนึ่ง
ถังน้ำใบนี้พิเศษยิ่งปากถังนั้นมีขนาดเล็กแคบหูจับมีขนาดความยาวพอที่จะรอบคอเจ้าเสือขาวเมื่อมันเอาศีรษะสอดเข้าไปก็สามารถยกถังน้ำขึ้นมาได้คางของมันก็จะพอดีกับปากถังขณะวิ่งน้ำก็จะไม่หกกระเด็น
เป็นเด็กหนุ่มนั่นแหละที่ทุ่มเทความคิดประดิษฐ์ถังน้ำนี้ขึ้นมา…
“เหยียนเอ๋อร์…ใช้งานเจ้าเหมียวอีกแล้วหรือ” เงาร่างสูงใหญ่สายหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหลังซูเหยียนเรือนผมสีขาวใบหน้าหล่อเหลาคมคายคนผู้นี้ไม่ใช่ใคร…เป็นอาจารย์ของเขาเซวียนหยวนเช่อ
“ผู้ใดให้มันกินจุเล่าหากไม่ให้ทำงานคงได้อ้วนเป็นหมูข้าให้มันทำงานเพราะว่าหวังดี” ซูเหยียนวางพลั่วในมือลงกระโจนเข้าสู่อ้อมอกอาจารย์ใช้มือ อันเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนเช็ดไปตามอาภรณ์สีเขียวของเขาคล้ายเจตนาไม่เจตนา
“เหยียนเอ๋อร์เจ้าเล่นซนไปแล้วอยากถูกอาจารย์ลงโทษหรือไร” เซวียนหยวนเช่อจับมือเล็กที่กำลังก่อกวนเขาพลางส่ายศีรษะอย่างระอา
“อาจารย์เหยียนเอ๋อร์ไม่ได้ตั้งใจ” เขาใบหน้าหนายิ่งหน้าตาระรื่นใสซื่อราวกับไม่ได้กระทำผิดอันใด
“ช่างเถอะเห็นว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเจ้าข้าจะไม่เอาเรื่อง” เซวียนหยวนเช่อโบกมือคราหนึ่งปล่อยมือเล็กที่จับไว้ให้ทำการก่อกวนเสื้อผ้าเขาต่อไป
“ของขวัญวันเกิดข้าเล่า?” เด้กหนุ่มยื่นมือไปตรงหน้าอาจารย์ทวงถามของขวัญไร้ซึ่งความเกรงใจ
เซวียนหยวนเช่อเอ่ยอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “ไป…กลับถึงห้องอาจาย์ค่อยสนทนากัน”
ยากนักที่จะเห็นอาจารย์เอ่ยด้วยวาจาจริงจังเช่นนี้เขารีบล้างมือในถังน้ำก่อนเร่งติดตามอาจารย์ไป
เพิ่งก้าวเข้าไปในห้องอาจารย์ก็เห็นเขากำลังกวักมือเรียกเมื่อซูเหยียนเดินเข้าไปหาพบว่ามีหีบไม้จันทน์หอมโบราณอันหนึ่งอยู่ในมือของอาจารย์ลวดลายโบราณบนตัวหีบมีความพิเศษเพียงเห็นก็รู้ว่ามีมูลค่ายิ่ง
“เวลาผ่านไปรวดเร็วยิ่งเพียงชั่วพริบตาเจ้าก็จะอายุใกล้ยี่สิบปีแล้วส่วนฐานะหนึ่งของเราเจ้าทราบดีอยู่แล้วแต่วันนี้ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกกับเจ้า…แท้จริงแล้วข้าไม่ใช่เป็นเพียงแค่อาจารย์ของเจ้า” เซวียนหยวนเช่อลูบไล้หีบไม้หางตาแดงระเรื่อเล็กน้อย
“ท่านไม่ได้เป็นเพียงอาจารย์ของข้า? ท่านคงไม่ใช่…บิดาของข้ากระมัง?!” เขาอ้าปากกว้างร้องออกมาด้วยความตกตะลึง
เขาอยู่ข้างกายอาจารย์ตั้งแต่ยังเยาว์เคยถามอาจารย์หลายคราว่าบิดามารดาเขาคือผู้ใดอาจารย์เฉไฉบ่ายเบี่ยงไม่ตอบคำถามหรือไม่ก็เอ่ยติดตลกขบขันว่าเขาเป็นเด็กที่เก็บมาจากนอกหุบเขาเวลาล่วงเลยผ่านไปเขาจึงไม่ได้เอ่ยถามอีก
“วาจาเหลวไหลข้าอายุยังไม่ถึงสามสิบจะมีลูกโตเช่นเจ้าได้อย่างไร? เราเป็นลุงแท้ๆของเจ้าต่างหากเล่า”
เซวียนหยวนเช่อถูกวาจาของซูเหยียนทำให้หัวเราะไม่ออกร่ำร้องไม่ได้ยกฝ่ามือขึ้นฟาดโบกศีรษะเขาไปทีหนึ่ง
“ลุง?” คำบอกเล่ากะทันหันนี้ทำให้ซูเหยียนตกตะลึงราวกับถูกสายฟ้าฟาดยังไงอย่างงั้นในหัวสมองว่างเปล่าอ้าปากกว้างค้างนิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่ง
“แท้จริงแล้วมารดาบังเกิดเกล้าของเจ้าเป็นน้องสาวที่คลานตามกันมาของข้าหลังจากคลอดเจ้าไม่นานก็จากไปเพราะถูกพิษเย็นยะเยือกแทรกซึมร่างข้าเห็นเจ้ากำพร้าไร้ที่พึ่งพิงหนำซ้ำร่างกายอ่อนแอจึงพาเจ้ามาอยู่ข้างกายเพื่อรักษาพิษเย็นยะเยือกที่อยู่ในกายเจ้าทั้งยังสอนวิชาแพทย์ให้เจ้า” เซวียนหยวนเช่อถอนหายใจเรื่องความรู้สึกมากมายในอดีตต่างพรั่งพรูออกมา
“ท่านเป็นพระปิตุลาเช่นนั้นมารดาข้าคงต้องเป็นพระปิตุจฉา (2) แล้วบิดาข้าเป็นผู้ใดเล่า? เขาอยู่ที่ใด?” ซูเหยียนได้สติอย่างรวดเร็ว กะพริบตาไล่หยาดน้ำตาที่เอ่อคลอนัยน์ตา พลางร้องถามติดต่อกัน
“บิดาของเจ้าคือผู้ใดเราก็ไม่ทราบได้ปีนั้นมารดาเจ้าอายุแค่สิบหกปีเล่นสนุกซุกซนเกินเลยแอบหนีออกไปจากวังเวลาผ่านไปปีครึ่งนางถึงร้องห่มร้องไห้กลับเข้าวังเวลานั้นนางก็ตั้งครรภ์เจ้าแล้วแถมมารดาของเจ้าต่อให้ตีให้ตายก็ไม่ยอมเอ่ยปากบอกว่าบิดาเจ้าคือผู้ใดท่านตาเจ้าทรงกริ้วมากสั่งผู้คนปิดเรื่องของมารดาเจ้าไว้” เซวียนหยวนเช่อส่ายศีรษะ
“ท่านบอกเรื่องนี้แก่ข้ามีจุดประสงค์อันใดรึ?” ซูเหยียนไม่ได้โง่งมรับฟังเรื่องราวจากอาจารย์ไม่นานก็คาดเดาจุดประสงค์ที่แฝงอยู่ได้
พิษเย็นยะเยือกที่เขาได้รับถ่ายทอดมาขณะอยู่ในครรภ์มารดานั้นร้ายแรงยิ่งหากไม่ใช่อาจารย์นำเขากลับมายังหุบเขาใช้กระสายยามีค่าราคาแพงยืดชีวิตน้อยๆของเขาเอาไว้เกรงว่าเขาคงไปพบท่านพญายมตั้งแต่เล็กแล้วยังดีที่หลายปีมานี้พิษเย็นยะเยือกในตัวเขาไม่ค่อยกำเริบดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตำหนิอาจารย์ที่ปิดบังความเป็นมาของเขาหนำซ้ำนี่ยังเป็นเรื่องราวสำคัญเกี่ยวข้องกับผู้คนส่วนมากจึงต้องระมัดระวังอย่างยิ่งยวด
เซวียนหยวนเช่อส่งมองหีบไม้จันทน์หอมในมือให้ซูเหยียนเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง “แม้มารดาเจ้าไม่ได้บอกว่าบิดาเจ้าเป็นผู้ใดทว่านามของเจ้านั้นเป็นมารดาที่ตั้งให้บางทีอาจมีความเกี่ยวข้องกับบิดาเจ้าขณะนางใกล้สิ้นใจในมือยังกำแผ่นป้ายทองคำนี้ไว้แล้วลอบหลั่งน้ำตาเงียบๆสิ่งนี้คงเป็นของสำคัญแทนใจที่บิดามอบให้มารดาเจ้าเป็นแน่วันนี้เจ้าอายุสิบแปดปีแล้วเราขอมอบของสิ่งนี้แก่เจ้า”
“…” มืออันสั่นเทาของเขารับหีบไม้มาค่อยๆเปิดหีบออกช้าๆเหม่อมองแผ่นป้ายทองคำที่อยู่ในหีบไร้ซึ่งวาจาใดๆ
แผ่นป้ายทองคำนี้จัดทำอย่างประณีตงดงามด้านหนึ่งสลักคำว่า ‘อาภรณ์เขียวตราตรึงฤทัยข้า’ (3) อีกด้านหนึ่งสลักตัว ‘อวี่และหย่า’ (4) สองตัวไว้คู่กันคงเป็นคำมั่นสัจสาบานรักของบุรุษสตรี
“ข้าทราบว่าเจ้าต้องการรู้ความเป็นมาของตนเองตอนนี้ข้าให้เบาะแสแก่เจ้าแล้วเจ้าจะออกตามหาบิดาบังเกิดเกล้าหรือไม่…ก็ล้วนแล้วแต่เจ้า”
“อาจารย์ข้าออกไปจากหุบเขาได้หรือ?” เขากัดริมฝีปากล่างแน่นดวงตาแดงระเรื่อ
หากเอ่ยว่าไม่เคยคิดออกตามหาบิดาคงหาว่าเขาโกหกเขาคิดมาตลอดว่าตนนั้นเป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดาวันนี้ไม่ง่ายนักที่ได้ครุ่นคิดตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องความเป็นมาของตนแม้มีความหวังเดียวเขาก็จะทุ่มเทจิตใจตามหาบิดาบังเกิดเกล้าของตนเองไถ่ถามให้ชัดเจนว่าเรื่องราวในตอนนั้นเป็นเช่นใดกันแน่เหตุใดมารดาจึงได้รับพิษเย็นยะเยือกทว่ายังคงพาเขาหนีมา
“ย่อมได้…ช่วงนี้อาจารย์หญิงของเจ้าถูกผู้อาวุโสในเผ่าบังคับให้แต่งงานจิตใจอึดอัดคับข้องยิ่งข้าคิดรับเธอมาอาศัยในหุบเขาสักระยะหนึ่งเจ้าคงไม่ต้องการรบกวนพวกเรากระมัง” เซวียนหยวนเช่อหัวเราะหึๆคาดเดาการตัดสินใจของเขาได้ตั้งแต่แรก
“ศิษย์ทราบว่าต้องทำอย่างไรพรุ่งนี้จะรีบออกเดินทางไปตามหาบิดา” เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตรงหางตาลวกๆก่อนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
เขาโชคดีที่อาจารย์รับเขาไว้ข้างกายตั้งใจสอนวิชาแพทย์ให้เขาแม้ร่างกายเขาจะไม่ค่อยแข็งแรงร่ำเรียนได้เพียงวิชาวิทยายุทธง่ายๆทว่าเขาก็พึงพอใจแล้ว
ตอนนี้ปณิธานเดียวในจิตใจคือออกตามหาบิดาบังเกิดเกล้าหลังจากจัดการเรื่องราวทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วจะกลับหุบเขาเป็นศิษย์ที่ดีของอาจารย์ไปชั่วชีวิต
⧫⧫⧫
วันต่อมาซูเหยียนแต่ตื่นเช้าหลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยก็เข้าไปกล่าวลาอาจารย์กำลังคิดส่งมอบเจ้าเหมียวให้อาจารย์ดูแลเพื่อไม่ให้มันออกไปเดินเพ่นพ่านนอกหุบเขาทำชาวบ้านแตกตื่นตกใจคาดไม่ถึงว่าตามหาเจ้าเสือยักษ์ทั้งในหุบเขาและบริเวณนอกหุบเขาห่างออกไปหลายลี้หลายรอบแล้วยังไม่พบ
ในห้วงอับจนปัญญาทำได้เพียงไปหาเซวียนหยวนเช่อกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน “อาจารย์เจ้าเหมียวหายไปไหนไม่รู้ข้าคงต้องออกไปนอกหุบเขาตามหามันก่อน” เขาเคยตรวจสอบบริเวณด้านนอกหุบเขาโดยละเอียดแล้วบางทีอาจมีผู้คนวางกับดักไว้เจ้าเหมียวค่อนข้างชอบเล่นซุกซนไม่ได้ระมัดระวังตัวอาจเหยียบกับดักสัตว์เข้าจนถูกผู้คนจับตัวไป
“รีบไปเถอะระมัดระวังตัวด้วยหากประสบเรื่องร้ายจงจำไว้ให้ประกาศนามหุบเขาหมอเทวดาของเรา” เมื่อเซวียนหยวนเช่อกำชับให้เขาระมัดระวังตัวแล้วก็ลากจูงคนชุดดำที่อยู่ข้างกายจากไป
“อาจารย์อาจารย์หญิงศิษย์ขออำลา” เขาโบกมือลาไหวๆคำเรียกอาจารย์หญิงทำให้ชายหนุ่มข้างกายเซวียนหยวนเช่อสะดุดกึกใบหน้าเขียวคล้ำ
ซูเหยียนตามร่องรอยกับดักสัตว์ที่เหลือทิ้งไว้รีบติดตามออกไปนอกหุบเขาเขาสำรวจตรวจสอบทุกสถานที่ที่เดินผ่านอย่างละเอียดจนทราบว่ามีกลุ่มคนและรถม้ารีบเร่งเดินทางผ่านไปเป็นแน่บนรถม้ามีกรงเหล็กถูกผ้าดำคลุมอยู่กำลังเดินทางลงใต้
ในกรงนั้นกักขังสิ่งใดไว้ไม่อาจทราบได้บางคราได้ยินเสียงร้องคำรามราวสัตว์ป่าเล็ดลอดออกมาเขายิ่งมั่นใจว่าเจ้าเหมียวโดนผู้คนจับตัวไปโชคยังดีที่มันยังมีชีวิตอยู่ไม่เช่นนั้นคงถูกผู้คนถลกหนังทำเนื้อเสือตากแห้งไปแล้ว
ตลอดเส้นทางที่ติดตามไปหลายคราที่เขาเกือบได้เข้าใกล้ขบวนทว่าเพียงชั่วพริบตาขบวนนั้นก็หายไปจากสายตาแล้วเขารู้สึกว่าพวกมันคงไม่ใช่พรานล่าสัตว์ธรรมดาการนำเสือตัวหนึ่งเดินทางไปด้วยทั้งยังสามารถหลบซ่อนจากการสะกดรอยตามของเขาได้นั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดาย
ในที่สุดกลุ่มคนที่จับเจ้าเหมียวก็หยุดลงณตำบลเล็กๆทางใต้แห่งหนึ่งเดิมทีซูเหยียนคิดเข้าไปสำรวจใกล้ๆคาดไม่ถึงว่าคนของฝ่ายตรงข้ามแต่ละคนล้วนร่างกายกำยำแข็งแรงทั้งยังมีวรยุทธฝีมือไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าเขาจึงตัดสินใจสังเกตสถานการณ์ไปก่อนค่อยวางแผน
ซูเหยียนปล่อยให้กรงเหล็กขนาดใหญ่ที่กักขังเจ้าเหมียวไว้ถูกลากเข้าไปในคฤหาสน์ผู้มีอันจะกินหลังหนึ่งเขาไม่ต้องการแหวกหญ้าให้งูตื่นจึงเช่าบ้านบริเวณเนินลาดตรงข้ามกับคฤหาสน์หาโอกาสเหมาะๆเข้าไปช่วยเจ้าเหมียว
ขณะที่เขายืนอยู่ในลานบ้านเช่ากำลังสืบข่าวด้วยตนเองอยู่นั้นก็ได้ยินมาว่าเจ้าของคฤหาสน์ ‘แซ่ตี๋’ เป็นชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบปีต้นๆผู้หนึ่งเพิ่งย้ายมาเมื่อสามเดือนก่อนทว่าเขารอมาแล้วสองวันยังไม่เห็นหน้าเจ้าของคฤหาสน์แซ่ตี๋โผล่หัวออกมามีเพียงบ่าวรับใช้เวรยามล่ำสันกำยำเดินขวักไขว่ไปมา
มันช่างสะกิดความอยากรู้อย่างเห็นของเขายิ่งนัก!
⧫⧫⧫
ซูเหยียนรอดูอยู่หลายวันปล่อยให้วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าเหมียวยิ่งนักตัดสินใจว่าหากท่านตี๋ยังไม่โผล่หัวออกมาอีกเขาคงต้องแอบย่องเข้าไปในคฤหาสน์ตามหาเจ้าเหมียวแล้ว
วันนี้อากาศแจ่มใสสายลมแผ่วเบากระทบใบหน้าให้ความรู้สึกสบายยิ่งซูเหยียนหลบซ่อนอยู่หลังประตูจับตามองประตูใหญ่คฤหาสน์สกุลตี๋เงียบๆ
เห็นเพียงคนผู้หนึ่งแต่งกายคล้ายพ่อบ้านเปิดประตูออกมามองซ้ายแลขวารอบหนึ่งก่อนรีบร้อนหลีกทางให้คนด้านหลัง
“นายท่านเชิญ”
“เจ้ากลับไปก่อน” บุรุษเรือนร่างสูงใหญ่ด้านหลังโบกมือให้เขาสื่อความหมายให้ผู้อาวุโสกว่าจากไป
น่าเสียดายตำแหน่งที่ซูเหยียนซ่อนอยู่ไม่ค่อยดีนักเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของร่างสูงใหญ่คลุมเครือทว่าฟันธงได้ว่าคนผู้นี้คือเจ้าของคฤหาสน์จากคำเรียกขานของผู้อาวุโสนั้น
ชายหนุ่มโน้มกายสอดร่างเข้าไปในเกี้ยวขบวนเกี้ยวออกเดินทางมุ่งสู่นอกเมืองเขาไม่ยอมพลาดโอกาสนี้รีบกลับบ้านไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดรัดกุมสีดำปิดคลุมใบหน้ากระโดดข้ามกำแพงสวนด้านหลังคฤหาสน์เข้าไป
เดิมทีคิดว่าสวนลานบ้านนั้นไม่ได้ใหญ่โตผู้ใดจะทราบว่าเมื่อเข้ามาแล้วคล้ายเป็นอีกโลกหนึ่งด้านในสวนเมื่อเดินไปได้สิบก้าวเจอยามเฝ้ารักษาการณ์ต่อไปอีกห้าก้าวพบหน่วยลาดตะเวรสรุปแล้วโดยรอบมีเวรยามคอยลาดตะเวรเฝ้ารักษาการอยู่การคุ้มกันหนาแน่นยิ่งไม่คล้ายบ้านเศรษฐีวานิชธรรมดาทั่วไป
เขาไม่อาจเคลื่อนไหวโดยพลการทำได้เพียงหลบหลังภูเขาจำลองที่สูงประมาณสองช่วงคนเตรียมถอนตัวกลับไปก่อนค่อยคิดวางแผนต่อแต่กลับได้ยินเสียงเวรยามร้องโดยพร้อมเพรียงกันเสียงหนึ่ง
“นายท่าน”
“ลำบากพวกเจ้าแล้วจำไว้ว่าอย่าให้ผู้ใดเข้ามาแม้เป็นยุงตัวหนึ่งก็ไม่อาจปล่อยให้เข้ามาได้!”
วาจาสั้นๆเพียงสองประโยคนี้ทำให้เขาตื่นตระหนกลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบจะออกไปก็ไม่ได้จะรั้งอยู่ก็ไม่ควรทำได้เพียงหมอบซ่อนอยู่ที่เดิมรอให้นายท่านตี๋จากไป
“ผู้ใดหลบซ่อนอยู่ตรงนั้น?” นายท่านตี๋พลันร้องออกมาสายตาจับจ้องมายังภูเขาจำลองที่เขาหลบซ่อนตัวอยู่
ซูเหลียนลอบร้องผิดท่าในใจรีบกระโดดลุกพรวดราวกับลูกธนูพุ่งทยานออกจากคฤหาสน์ไปทุกฝีก้าวไม่กล้าหยุดพักหายใจยิ่งไม่กล้ากลับไปยังบ้านเช่าเขาวิ่งกระโจนเข้าไปในกลุ่มฝูงชนสุดกำลัง
หลังจากวิ่งไปได้ระยะหนึ่งร่างกายของเราเริ่มรู้สึกขัดข้องอ่อนแรงเดิมทีคิดว่าไม่มีผู้คนติดตามมาแล้วคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันศีรษะกลับไปมองพบเงาร่างสีดำกำลังติดตามอยู่เบื้องหลังเป็นนายท่านตี๋นั่นเองอีกฝ่ายดูท่าเรี่ยวแรงไม่ได้ถดถอยหอบเหนื่อยแม้สักนิดเห็นได้ชัดว่าร้ายกาจกว่าเขานัก
ในช่วงเวลาคับขันเขาทิ้งระเบิดควันป้องกันตนก่อนทะลวงเข้าไปในร้านค้าที่อยู่ไม่ไกลตรงหน้าร้านค้าไม่ได้ใหญ่โตจึงไม่อาจหลบซ่อนตัวได้เขาเดินวนอยู่รอบหนึ่งก่อนตัดสินใจหนีออกไปทางลานบ้านด้านหลังประจวบกับตรงลานบ้านมีอาภรณ์สตรีสีขาวตากทิ้งไว้อยู่
ความคิดหนึ่งแวบผ่านเข้ามาเขากระชากดึงปล่อยผมยาวสยายลงบ่าเปลี่ยนเป็นสวมเสื้อผ้าสตรีเดินออกไปเงียบๆ
ครานี้ชะตาของเขาคงถึงคาดแล้วจริงๆเพิ่งย่างเท้าออกมาจากประตูด้านหลังใบหน้าปะทะชนเข้ากับคนผู้หนึ่งยังไม่ทันเงยหน้าขึ้นมองเพียงเห็นสีและลักษณะอาภรณ์ที่คนผู้นี้สวมใส่นั้นคุ้นตายิ่งช่างเหมือนกับของนายท่านแซ่ตี๋ที่ตามเขามาอย่างกับแกะ
“แม่นางโปรดหยุดก่อน” คนผู้นั้นยกมือขึ้นขวางหน้าเขาไว้น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงพลังชี้ชัดว่าคนผู้นี้คือนายท่านตี๋จริงๆ
“คุณชายท่านรั้งหญิงสาวชาวบ้านเช่นข้าไว้มีเจตนาอันใดรึ?” เขาลอบร่ำร้อง ‘แย่แล้ว’ ในใจทำได้เพียงบีบน้ำเสียงให้เล็กแหลมแสร้งปลอมเป็นสตรีหนำซ้ำยังกังวลยิ่งว่าจะปลอมแปลงได้ไม่คล้ายแล้วเผยพิรุธให้เขาเห็น
‘ตี๋เยวี๋ยนฮว่า’ สำรวจสตรีตรงหน้าโดยละเอียดก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ไม่ทราบว่าแม่นางเห็นบุรุษแปลกหน้าออกมาจากที่นี่หรือไม่ส่วนสูงของแม่นางน่าจะพอๆกับมัน”
“ข้าไม่เห็น” เขารีบร้อนปฏิเสธเคลื่อนกายมาทางขวาเพื่อรีบจากไป
“แม่นาง…ไยรีบร้อนจากไปเล่าข้าน้อยยังมีเรื่องไถ่ถามแม่นางอีก” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าคิ้วขมวดขยับกายขวางหน้าคนคนนี้ไว้
เขากำลังไล่ตามคนปิดบังใบหน้าผู้หนึ่งแค่พริบตาเดียวคนผู้นั้นก็หายไปเวลาผ่านไปครู่หนึ่งแม่นางผู้นี้พลันปรากฏตัวออกมามองจากรูปร่างแล้วคล้ายคลึงกับเจ้าคนปิดบังใบหน้านั่นหลายส่วนนี่อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“คุณชายท่านรั้งข้าไว้เช่นนี้หากถูกผู้อื่นพบเห็นเข้าเรื่องราวทราบถึงหูสามีข้าข้าคงอยู่ต่อไปอีกไม่ได้” เขาปิดบังใบหน้ามิดชิดแสดงท่าทางอับอายโกรธเคืองอย่างนั้น
“เช่นนั้นข้าเสียมารยาทแล้วท่านไปเถอะ” ตี๋เยวี๋ยนฮว่ามองเรียวขาที่โผล่พ้นออกมาจากกระโปรงวูบหนึ่งส่งยิ้มเย็นพลางเบี่ยงกายเปิดทางให้
ซูเหยียนไม่กล้ารั้งอยู่นานจงใจแสดงท่าทีขัดเขินกระมิดกระเมี้ยนเล็กน้อยก่อนเดินเลี้ยวเข้าไปในตรอกน้อยลับตาผู้คนพบว่านายท่านตี๋ไม่ได้ติดตามมาอีก
เขาโชคดีที่สลัดหลุดจากการติดตามมาได้ในที่สุดจึงเร่งรีบกลับไปยังบ้านเช่าไม่กล้าออกจากบ้านหนึ่งวันหนึ่งคืน
ทว่าเขาไม่ยอมแพ้เพราะเรื่องแค่นี้เจ้าเหมียวยังถูกขังอยู่ในคฤหาสน์สกุลตี๋ยากจะรับประกันได้ว่ามันจะไม่ถูกถลกหนังไปทำเบาะรองนั่งดังนั้นจึงไม่อาจรั้งรอได้แม้สักวินาทีเดียว
⧫⧫⧫
เวลาผ่านไปไม่นานซูเหยียนพบว่าตนเองได้แหวกหญ้าให้งูตื่นเสียแล้วเนื่องจากคราที่แล้วเขาลอบเข้าคฤหาสน์ตอนกลางวันแสกๆคฤหาสน์สกุลตี๋ถึงได้เพิ่งกำลังเวรยามมากขึ้นแม้ยุงตัวหนึ่งยังบินผ่านเข้าไปไม่ได้เขาทำได้เพียงคิดหาแผนการอื่น
ในช่วงอับจนปัญญาเช่นนี้เขาเดินทางไปแหล่งชุมนุมของคนเร่ร่อนใช้เสื้อผ้าใหม่แลกเสื้อผ้าเก่าขาดชุดหนึ่งหลังจากผลัดเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าเก่าขาดแล้วปล่อยมวยผมให้สยายลงมาหยิบขี้เถ้าบนพื้นหลายกำมือหลับตาลงก่อนใช้ขี้เถ้าลูบไล้ใบหน้ารวมถึงเส้นผมส่วนที่ลอดพ้นจากเสื้อผ้าล้วนถูกขี้เถ้าปิดบังจนหมด
สภาพเขาในตอนนี้ไม่คล้ายหมอเทวดาน้อยหน้าหยกในคราแรกลักษณะภายนอกล้วนแปรเปลี่ยนเป็นขอทานน้อยผู้น่าสงสารเขาฉวยโอกาสที่ฟ้ากำลังมืดเฝ้าอยู่นอกประตูคฤหาสน์เงียบๆเพื่อรอให้นายท่านตี๋ออกมา
เดิมทีซูเหยียนมีเพียงความหวังอันน้อยนิดไม่ใช่ว่าตี๋เยวี๋ยนฮว่าจะโผล่หน้าออกมาจากคฤหาสน์ทุกวันแต่ครานี้เขาโชคดียิ่งเพิ่งคุกเข่าลงพื้นได้ไม่นานประตูคฤหาสน์ถูกเปิดออกมาจากด้านในตี๋เยวี๋ยนฮว่าย่างเท้าก้าวออกมามีพ่อบ้านติดตามอยู่ด้านหลังเช่นเคย
“นายท่านให้ความเมตตาข้าน้อยด้วยเถิดหลายวันมานี้ข้ายังไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องเลย” เขาเห็นโอกาสประจวบเหมาะผุดลุกขึ้นกระโจนเข้ากอดขาตี๋เยวี๋ยนฮว่าไว้มั่นร่ำร้องเสียงดังร้องห่มร้องไห้เป็นเต่าเผา
“เจ้าขอทานปล่อยขาเจ้านายข้าเดี๋ยวนี้!” พ่อบ้านสกุลตี๋สีหน้าแปรเปลี่ยนตรงเข้าไปลากดึงแขนเขา
แม้พลังฝีมือของซูเหยียนไม่ได้สูงส่งทว่าเขาพัวพันกอดรัดอาจารย์มาตั้งแต่เด็กดังนั้นวิชากอดรัดพัวพันของเขาเหนียวแน่นยิ่งพ่อบ้านย่อมไม่ใช่คู่มือของเขาเป็นธรรมดาฉุดกระชากลากดึงอยู่ครู่ใหญ่ยังคงงัดแกะตัวเขาออกจากขาเจ้านายตนไม่ได้
“เจ้ามาจากที่ใด?” สีหน้าตี๋เยวี๋ยนฮว่าไม่แสดงอารมณ์ใดๆตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ไม่ได้แสดงความเดือดเป็นร้อนที่เขาทำกางเกงเปรอะเปื้อนสกปรก
“นายท่านโปรดเมตตาข้าหิวโหยยิ่งขอความกรุณานายท่านรับข้าไว้ใช้งานด้วยเถิดไม่ว่าสิ่งใดข้าล้วนกระทำได้ชีวิตต่อจากนี้ของข้าจะให้เป็นวัวเป็นม้าก็แล้วแต่นายท่าน” เขาร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลพรากสบโอกาสเหมาะใช้ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยขี้เถ้าถูไถไปบนขาของนายท่านตี๋
สำหรับซูเหยียนแล้วหากเข้าไปอย่างเปิดเผยไม่ได้ก็ต้องลอบเข้าไปแล้วขอเพียงตี๋เยวี๋ยนฮว่ารับเขาไว้เขาก็มีโอกาสเสาะหาเจ้าเหมียวในคฤหาสน์แล้วก็ช่วยมันออกมาได้
“เจ้ายังไม่ได้ตอบเราว่ามาจากที่ใด” ตี๋เยวี๋ยนฮว่ายังคงรักษาท่าทีแข็งกระด้างดั่งต้นไม้แววตานิ่งเฉยเย็นชาผู้คนสงบนิ่งดั่งสายน้ำ
“ข้ามาจากนอกเมืองหมู่บ้านข้าเกิดอุทกภัยคนในครอบครัวข้าล้วนถูกน้ำพัดพาจมหายไปเหลือเพียงข้าระเหเร่ร่อนมายังที่แห่งนี้ไม่มีที่ให้พึ่งพิงนายท่าน…ถือเสียว่าทำบุญทำทานโปรดรับข้าไว้ด้วยเถิด” ซูเหยียนตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จกระทั่งหนังตายังไม่กะพริบ
ก่อนหน้านี้เขาฝึกซ้อมออกท่าทางการแสดงท่องประโยคเหล่านี้เป็นสิบๆรอบคิดว่าตนนั้นจะไม่เปิดเผยพิรุธแน่นอนกระทั่งวาจายังกล่าวได้ไหลลื่นไม่สะดุดแม้สักน้อย
“ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินว่ามีที่ใดประสบอุทกภัย”
“ช่วงก่อนหน้านี้ไม่มีขอรับอุทกภัยเป็นเรื่องช่วงก่อนหน้านั้นอีกขอรับข้าไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องมาหลายวันแล้วคิดว่าข้าจะหลอกลวงท่านเชียวหรือ?” ซูเหยียนปากเอ่ยเช่นนี้แต่กลับไม่กล้ามองหน้าตี๋เยวี๋ยนฮว่าเกรงว่าเขาจะเห็นพิรุธ
“เจ้าทำสิ่งใดได้บ้าง?” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าไตร่ตรองเพียงชั่วครู่หรี่ตาเอ่ยถาม
“ไม่ว่าสิ่งใดข้าล้วนทำได้ซักผ้าทำอาหารถูพื้นทำงานจิปาถะล้วนไม่มีปัญหา” ซูเหยียนเอ่ยอย่างมั่นใจแต่เดิมงานเหล่านี้เป็นเรื่องที่เขาถนัดอยู่แล้วงานจุกจิกจิปาถะส่วนใหญ่ในหุบเขาล้วนเป็นศิษย์ในหุบเขาเช่นพวกเขาดูแลรับผิดชอบทั้งสิ้น
“สิ่งใดล้วนกระทำได้?” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าใช้มือประคองจับใบหน้าเขาเชยขึ้นมาสบตา
“ข้าลำบากมาตั้งแต่เด็กไม่ว่างานอันใดล้วนกระทำได้” ซูเหยียนสั่นระริกพยายามแสร้งเป็นหวาดกลัว
“พ่อบ้านพาเขาเข้าไป” ตี๋เยวี๋ยนฮว่ามุมปากยักยกน้อยๆออกคำสั่ง
“แต่นายท่านเขา…” พ่อบ้านมีสีหน้าลำบากใจราวกับไม่ชมชอบเขา
“พาเขาเข้าไป” น้อยนักที่ตี๋เยวี๋ยนฮว่าจะเอ่ยวาจามากความทว่าเมื่อเอ่ยวาจาล้วนเด็ดขาดไม่ยอมให้ผู้ใดขัดคำสั่ง
“ขอรับนายท่าน” พ่อบ้านรับคำสั่งพาร่างที่เปรอะเปื้อนไปด้วยขี้เถ้าของซูเหยียนเข้าคฤหาสน์ไป
ซูเหยียนคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะราบรื่นเช่นนี้แอบลอบยิ้มในใจเดินพลางลอบใช้หางตากวาดสำรวจภายในคฤหาสน์ทั้งหมดหวังตรวจพบเบาะแสร่องรอย
⧫⧫⧫
ณคฤหาสน์สกุลตี๋
ซูเหยียนเดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินเขียวแคบทอดยาวได้ระยะหนึ่งก็ถูกบ่าวรับใช้พาไปอาบน้ำชำระกายที่เรือนหลังส่วนตี๋เยวี๋ยนฮว่านั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด
“ท่านประมุขน้อยอย่าโกรธที่บ่าวปากมากเลยนะขอรับตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญไยท่านยังให้พาคนนอกเข้ามาขอรับ?” พ่อบ้านยืนอยู่ด้านข้างตี๋เยวี๋ยนฮว่าดวงตาคู่นั้นทอประกายเพียงเห็นก็ทราบว่าเป็นผู้มีฝีมือไม่อ่อนด้อย
“เราย่อมมีแผนอยู่ในใจ” คำพูดของตี๋เยวี๋ยนฮว่ามีค่าดั่งทองไม่ต้องการเอ่ยมากความ
แท้จริงแล้วเมื่อเขาเห็นซูเหยียนครั้งแรกก็ทราบว่าเป็นคนเดียวกับที่เข้ามาก่อเรื่องในคฤหาสน์เมื่อสองวันก่อนตอนหลบหนีล่าถอยปลอมแปลงแต่งกายเป็นสตรีเผ่นหนีอย่างว่องไวช่างน่าสนใจกว่าที่เขาคาดคิดไว้นัก
หลังจากเหตุการณ์นั้นเขาส่งคนออกไปตรวจสอบทราบว่าซูเหยียนเช่าบ้านไว้ที่เนินลาดตรงข้ามกับคฤหาสน์ตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนทั้งยังคอยสืบเสาะหาข่าวของเขาให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของเขาเสมอสบโอกาสตอนเขาไม่อยู่มักจะชะโชกหน้าเข้ามาเมียงมอง
เขาต้องการดูว่าซูเหลียนหาทางเข้ามาในคฤหาสน์หลายครั้งหลายครานั้นวางแผนอันใดไว้กันแน่จะเกี่ยวข้องกับคนทรยศพวกนั้นหรือไม่?
ซูเหยียนกำลังอาบน้ำชำระกายในถังอาบน้ำอย่างสำราญใจไม่ทราบเลยว่าละครที่ตนเองแสดงนั้นเผยพิรุธตั้งแต่แรกแล้วยังคิดว่าทักษะการแสดงของตนนั้นเยี่ยมยอดยิ่งฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์พลางขัดสีฉวีวรรณ
อาบน้ำชำระร่างกายสะอาดหมดจนทุกซอกทุกมุมแล้วก็มีคนส่งเสื้อผ้าของบ่าวรับใช้มาให้อย่างรวดเร็วเขาผลัดเปลี่ยนเรียบร้อยก่อนถูกผู้คนพามาพบหน้าตี๋เยวี๋ยนฮว่าอีกครั้งครานี้เขาได้เห็นรูปร่างหน้าตาของตี๋เยวี๋ยนฮว่าอย่างชัดเจนซูเหยียนตะลึงงันเล็กน้อย
นายท่านตี๋ตรงหน้าแตกต่างกับนายท่านในความคิดอย่างสิ้นเชิงดูไปแล้วลักษณะท่าทางอายุอานามไม่น่าเกินยี่สิบห้ายี่สิบหกปีช่างหล่อเหลาคมคายราวกับถูกสลักสรรค์สร้างขึ้นส่วนประกอบบนใบหน้าล้วนสมส่วนงดงามยิ่งนัยน์ตาดำขลับราวกับน้ำหมึกดำข้นนิ่งสงบแฝงไปด้วยความกระด้างเย็นชามุมปากหยักยกขึ้นน้อยๆผมยาวดำราวขนอีการวบไว้เป็นมวยกลางศีรษะครอบทับด้วยรัดเกล้าหยกหล่อเหลาราวกับไม่ใช่มนุษย์
ทว่าตี๋เยวี๋ยนฮว่าคล้ายกับเพิ่งออกมาจากอุโมงค์น้ำแข็งทั่วทั้งร่างแผ่ไอเย็นยะเยือกเสียดกระดูกเมื่อเห็นเขาเข้ามาในห้องสีหน้าไม่แปรเปลี่ยนแม้สักเล็กน้อย
“เจ้าชื่อว่าอะไร?” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าเห็นใบหน้าที่แท้จริงของซูเหยียนเกิดอาการนิ่งค้างตกตะลึงสติคล้ายหลุดลอยไปวูบหนึ่ง
แม้ก่อนหน้านี้ตี๋เยวี๋ยนฮว่าเคยเห็นซูเหยียนแต่งกายเป็นสตรีทว่าเขาเอาแต่ก้มหน้าเห็นเพียงดวงตาสดใสมีชีวิตชีวายามนี้พิจดูโดยละเอียดอดชมเชยว่าเขามีใบหน้างดงามยากหาผู้ใดเปรียบได้เรือนร่างผอมบางสูงโปร่งหน้าตาหมดจดงดงามไม่น่าล่ะยามแต่งกายเป็นสตรีจึงยากดูออก
“ข้าน้อยชื่อว่าซูเหยียน” ซูเหยียนรีบเก็บงำประกายตาตื่นตกใจไว้โน้มกายประสานมือแสดงความเคารพ
“เป็นชื่อที่ไม่เลวท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อย” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าเอ่อชมเชยเขาอย่างเปิดเผยก่อนเอ่ยต่ออย่างรวดเร็ว “คฤหาสน์สกุลตี๋เราไม่เลี้ยงคนว่างงานท่าทางอ้อนแอ้นแรงน้อยเช่นเจ้าทำงานใช้แรงงานคงไม่เหมาะนัก”
“นายท่านกล่าวได้ถูกต้องจะให้ข้ากระทำสิ่งใดล้วนให้นายท่านเป็นผู้ตัดสินใจ” ซูเหยียนพยักหน้าเห็นด้วยเกิดหวาดกลัวว่าตี๋เยวี๋ยนฮว่าจะส่งเขาไปทำงานใช้แรงงานจริงๆ
แน่นอนว่าเขาไม่ปรารถนาทำงานใช้แรงงานหากลงนามในสัญญาทาสแล้วคงกลายเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมา
“เห็นเจ้าว่านอนสอนง่ายเราขาดบ่าวรับใช้ข้างกายอยู่คนหนึ่งพอดีงานนี้มอบให้เป็นหน้าที่เจ้าแล้วกัน” ตี๋เยวี๋ยนฮว่ากล่าวอย่างไม่อีนังขังขอบแท้จริงแล้วกำลังสังเกตปฏิกิริยาของเขา
นำคนผู้นี้มาไว้ข้างกายตนถึงจะปลอดภัยที่สุดเชื่อว่าซูเหยียนเมื่ออยู่ข้างกายเขาแล้วคงเล่นลวดลายใดๆไม่ออก
“ข้าน้อยเงอะงะงุ่นง่านเกรงว่าจะปรนนิบัตินายท่านไม่ดีพอ” ซูเหยียนได้ยินวาจาของเขาแล้วลอบร้อง ‘แย่แล้ว’ ในใจรีบหาเหตุผลมาคัดค้านปฏิเสธ
เขามาช่วยเจ้าเหมียวไม่ได้แฝงตัวเข้ามาหาข้าวกินเสียหน่อยหากต้องอยู่ข้างกายตี๋เยวี๋ยนฮว่าตั้งแต่เช้าจรดเย็นจะช่วยเจ้าเหมียวออกมาได้อย่างไรเล่า?
“หากไม่ยินยอมก็แล้วไปเถิดเราไม่ได้ต้องการทำให้เจ้าลำบากใจ” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าแค่นเสียบเสียงหัวเราะเย็นเยียบคราหนึ่ง
ซูเหยียนพยักหน้าลนลาน “ไม่…ไม่ใช่ขอรับข้าน้อยยินดียิ่ง”
ต่อให้โง่เง่ากว่านี้ก็ทราบความหมายที่แฝงอยู่ในวาจาของตี๋เยวี๋ยนฮว่าหากเขาปฏิเสธคงต้องถูกไล่ออกไปจากคฤหาสน์โดยเร็วไวกว่าจะได้โอกาสเช่นนี้จะปล่อยไปง่ายๆได้อย่างไร
“นับว่าเจ้าเป็นเด็กฉลาดไม่เสียแรงที่ข้ามีจิตเมตตารับเจ้าไว้” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าพึงพอใจที่เขาเชื่อฟังรังสีเย็นเยียบลดทอนลงไปไม่น้อย
เพียงสนทนาไถ่ถามสั้นๆแผ่นหลังซูเหยียนแทบโชกชุ่มไปด้วยเหงื่อดูท่าตี๋เยวี๋ยนฮว่าจะรับมือได้ยากกว่าที่เขาคิดไว้เพียงหวังว่าเจ้าเหมียวจะมีอายุยืนอดทนไปสักระยะหนึ่งแล้วกัน
อัพเดทเมื่อวันที่ : 23 ธันวาคม 2559
วันต่อมา ซูเหยียนได้เริ่มต้นชีวิตการเป็นบ่าวรับใช้อันแสนน่าเวทนา ปรกติแล้วเขาจะตื่นนอนหลังตะวันโผล่พ้นฟ้า แม้กระทั่งชอบนอนเวลาใดก็นอนเวลานั้น ทว่าในคฤหาสน์สกุลตี๋แห่งนี้ฟ้ายังไม่ทันสาง ไก่ยังไม่ทันขัน พ่อบ้านใหญ่ก็ฉุดลากเขาออกมาจากที่นอนแล้ว สั่งให้เขายกอ่างน้ำร้อนยืนรอตี๋เยวี๋ยนฮว่าตื่นนอนอยู่หน้าห้อง
“ยืนให้ดีๆหน่อยเมื่อคืนนายท่านนอนดึกห้ามเจ้ารบกวนเขา” พ่อบ้านไม่ชมชอบเขาตั้งแต่แรกเห็นว่าความเป็นมาของเขาไม่ชัดเจนจึงไม่เคยเอ่ยวาจาดีๆกับเขา
“ขอรับท่านพ่อบ้านใหญ่” เขากะพริบตาสะลืมสะลือสองมือโอบอุ้มอ่างน้ำบังคับให้ตนนั้นมีสติแจ่มใส
นี่เป็นแค่การทำงานวันแรกหากทำได้ไม่ดีเกรงว่าจะรั้งอยู่ได้ไม่นานเพื่อเจ้าเหมียวแล้วเขาต้องกัดฟันสู้ต่อไป
ทว่าคิดดูแล้วตี๋เยวี๋ยนฮว่าเข้านอนดึกดื่นคงไม่ได้โอบกอดแม่นางน้อยผ่านค่ำคืนหรรษายามนี้คงไม่ได้มีสตรีอยู่ในห้องกระมัง?
เขาเข้าไปเช่นนี้จะเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นหรือไม่? หรือต้องเตรียมล้างลูกกะตา?
ขณะที่เขากำลังคิดวุ่นวายไร้สาระบานประตูมีการเคลื่อนไหวก่อนถูกเปิดจากภายในห้อง
แอ๊ด———
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าแต่งกายเรียบร้อยปรากฏกายอยู่ตรงหน้าเขาเมื่อเห็นเขาโอบอุ้มอ่างน้ำยืนรออยู่ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ปราดตามองเขารอบหนึ่ง
ซูเหยียนลอบช้อนตาขึ้นมองเข้าไปในห้องภายในว่างเปล่าไม่เห็นเหล่าแม่นางน้อยดังที่ตนคิดไว้ก็ระบายลมหายใจออกมาคราหนึ่ง
“ยังไม่รีบเข้าไปปรนนิบัตล้างหน้านายท่านอีก” พ่อบ้านใหญ่ตบหลังเขาฝ่ามือหนึ่งทำเอาน้ำในอ่างสาดกระเซ็นออกมา
“ตี๋ฝูหมดธุระของเจ้าแล้วออกไปก่อน” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าหัวคิ้วขมวดเอ่ยไล่ผู้คน
เหตุใดตี๋เยวี๋ยนฮว่าจะไม่รู้ว่าพ่อบ้านไม่ชมชอบซูเหยียนความเป็นมาคลุมเครือทั้งรูปร่างหน้าตายังหมดจดงดงามเป็นอันตรายเมื่อรั้งอยู่ข้างกายเขาแน่นอน
ทว่าเขากลับไม่กลัวแม้ซูเหยียนจะมีวิชาฝีมือทว่าเทียบกับเขาที่ฝึกวรยุทธตั้งแต่เยาว์วัยยังถือว่าอ่อนด้อยกว่ามากและถึงจะมีแผนการร้ายความเป็นไปได้ที่จะกระทำสำเร็จน้อยยิ่งกว่าน้อยเพียงแต่ไม่ทราบว่าซูเหยียนเข้าใกล้เขามีจุดประสงค์อันใด
“นายท่านเชิญล้างหน้าขอรับ” เนื่องจากพ่อบ้านออกไปแล้วซูเหยียนในใจยังคงรู้สึกตื่นเต้นตุ้มๆต่อมๆเอ่ยวาจาผะแผ่ว
ซูเหยียนรู้ว่าพ่อบ้านเกลียดเขาถึงได้ปลุกเขาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างทว่าเพื่อเจ้าเหมียวแล้วเขาจะฝืนทนทำภารกิจอันหนักอึ้งนี้ให้สำเร็จ ยังดีที่นายท่านตี๋ผู้นี้นอกจากนิสัยเย็นชาไปบ้างแต่ให้อยู่ร่วมกันนั้นไม่ยากเย็นเกินไป
กอปรกับยังไม่ทราบว่าพวกเขาจับเจ้าเหมียวมาทำไมกันแน่หวังว่าคงไม่ได้ถูกใจหนังของเจ้าเหมียวเข้าจริงๆ …
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าล้างหน้าเสร็จแล้วรอซูเหยียนมายกอ่างน้ำออกไปรอครู่หนึ่งไม่เห็นผู้คนเข้ามาจึงหันศีรษะกลับไปมองก็เห็นซูเหยียนกำลังมองแผ่นหลังเขาอย่างเหม่อลอย
“ซูเหยียนซูเหยียน” เขาร้องเรียกอยู่หลายคราอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองตี๋เยวี๋ยนฮว่าสีหน้าทะมึงทึง
“ขะขอรับ!”
ซูเหยียนได้สติจากเสียงเรียกของตี๋เยวี๋ยนฮว่าเขาวิ่งเข้าไปยกอ่างน้ำไหนเลยจะทราบว่าตนรีบร้อนลนลานเกินไปจึงไม่ทันระวังตัวชนเข้ากับแขนของตี๋เยวี๋ยนฮว่าน้ำในอ่างสาดรดไปบนร่างสูงใหญ่
“ขะ…ขอประทานอภัยขอรับ…บ่าวไม่ได้ตั้งใจ…” เขาหดคอหวาดผวาก้มศีรษะมองรอยเปียกชื้นผืนใหญ่ตรงกลางอกของตี๋เยวี๋ยนฮว่าไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเขา
“ช่างเถอะไปหยิบเสื้อผ้าสะอาดในตู้มาให้ข้า” ตี๋เยวี๋ยนฮว่ามองดูรอยเปียกผืนใหญ่ตรงกลางอกสีหน้าบึ้งตึงขึ้นเล็กน้อย
ไม่ทราบว่าซูเหยียนเจตนาหรือไม่ขนาดแค่ยกอ่างน้ำยังเกิดเรื่องราวได้แล้ววาจาอวดอ้างประโคมโม้ว่าสิ่งใดล้วนกระทำได้ก่อนหน้านี้เล่าคิดเสียเถอะว่าเจ้าเด็กนี่ซื่อบื้อโง่งมก็แล้วกัน
“ขอรับข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ซูเหยียนรีบร้อนวางอ่างน้ำลงไปเลือกค้นชุดคลุมยาวในตู้ยื่นส่งไปตรงหน้าตี๋เยวี๋ยนฮว่ายังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขา
“ต้องให้เจ้านายเช่นข้าจัดการด้วยตนเองหรือ?” เมื่อเห็นเขายืนนิ่งค้างเป็นสากกระเบืออยู่ครู่ใหญ่สีหน้าตี๋เยวี๋ยนฮว่ายิ่งไม่น่าดูขึ้นไปอีก
“บ่าวจัดการเองขอรับ” ซูเหยียนเบ้ปาก
ตอนที่อยู่กับอาจารย์หน้าที่ของเขาอย่างมากคือทำความสะอาดห้องหับดูแลยาสมุนไพรเรื่องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเขาไม่เคยกระทำมาก่อน
แม้รู้สึกขัดใจอยู่บ้างทว่าเขารู้ว่าไม่อาจขัดคำสั่งของตี๋เยวี๋ยนฮว่าได้ทำได้เพียงแกะสายรัดเอวถอดชุดที่เปียกออกค่อยสวมเสื้อผ้าแห้งสะอาดเข้าไปก่อนจัดการผูกรัดสายคาดเอวใหม่ทำงานมือเท้าเป็นระวิงอยู่ครู่ใหญ่ก็พอถูไถจนเสร็จสิ้น
ตี๋เยวี๋ยนฮว่ามองชายผ้าที่ถูกเขาทำยับยู่ยี้เรียวคิ้วคมเข้มยิ่งขมวดเข้าหากันแผ่รังสีเย็นเยียบสะกดผู้คนทว่ายังไม่ได้ระเบิดออก
“นายท่านเรียบร้อยแล้วขอรับ” ซูเหยียนรู้สึกเย็นวูบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุคิดยื่นมือออกไปลูบชายเสื้อให้เรียบกลับถูกตี๋เยวี๋ยนฮว่าคว้าจับไว้หยุดยั้งไม่ให้เขาลูบจับ
“ไม่ต้องแล้ว” เงอะงะงุ่นง่านจริงๆเรื่องเล็กน้อยแค่นี้กลับใช้เวลาจัดการเสียครึ่งค่อนวันด้านนอกยังมีเรื่องราวรอให้เขาไปสะสางจัดการ
“ไม่มีงานของบ่าวแล้วใช่ไหมขอรับ?” ซูเหยียนลูบหลังศีรษะมองตี๋เยวี๋ยนฮว่าอย่างเหม่อลอย
“ไปฝนหมึกที่ห้องหนังสือ” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าไม่มีวันปล่อยให้เขาได้ทำตัวสบายว่างงานมือใหญ่สะบัดมือขับไล่เขาออกไป
ซูเหยียนคอตกส่งเสียงฟึดฟัดขัดใจครู่หนึ่งก่อนออกจากห้องไปตี๋เยวี๋ยนฮว่ามองแผ่นหลังเล็กก่อนส่ายศีรษะช้าๆ
เจ้าเด็กนี่ช่างไร้เดียงสานักในหัวคิดอ่านอันใดล้วนเขียนไว้บนหน้าหากซูเหยียนเป็นคนที่ฝ่ายศัตรูส่งแฝงตัวเข้ามาจริงเช่นนั้นอีกฝ่ายคงประมาทเขาเกินไปถึงได้ส่งเจ้าหนอนซื่อบื้อผู้นี้เข้ามา
ทว่าเรื่องทั้งหมดยังต้องรอการตรวจสอบอย่างไรก็ตามเรื่องราวเกี่ยวข้องกับลัทธิหนึ่งฟ้าทั้งหมดเขาไม่อาจผลีผลามทำการใหญ่ไม่เช่นนั้นเมื่อกลับลัทธิไปอาจารย์ต้องมีโทสะเป็นแน่
⧫⧫⧫
เวลาผ่านไปไม่นานซูเหยียนพบว่าสิ่งที่คิดไว้ไม่เป็นไปตามแผนคนแฝงตัวเข้ามาได้แล้วทว่าวันหนึ่งๆทำงานยุ่งวุ่นวายตั้งแต่เช้าจรดเย็นแทบไม่ได้หยุดพักจะเอาเวลาว่างจากงานที่ไหนไปเสาะหาเจ้าเหมียวเล่า
สิ่งที่ทำให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้ามากที่สุดคือช่วงเที่ยงของวันนี้พ่อบ้านใหญ่นำหนังสือสัญญาทาสมาหาเขาบังคับให้เขาลงนามบนหนังสือสัญญา
เขาลงนามลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ทว่าโชคยังเข้าข้างเขาตัวอักษรเหยียนในชื่อเขานั้นเดิมทีต้องมีสามขีดทว่าเขาเขียนตวัดฝีพู่กันติดๆกันเพียงสองขีด (5) พ่อบ้านใหญ่กวาดตาดูลวกๆรอบหนึ่งไม่พบพิรุธก็เก็บหนังสือสัญญากลับไป
ยามนี้ฟ้ามืดลงแล้วซูเหยียนรับประทานอาหารเย็นเสร็จไม่รอให้ตี๋เยวี๋ยนฮว่าเอ่ยอันใดก็พาตนเองกลับไปหลบในห้องหับ
ซูเหยียนนอนหงายอยู่บนเตียงไม้นวดเฟ้นไหล่ที่ปวดเมื่อยร้องโอดโอยคำหนึ่ง “เหนื่อยจะตายอยู่แล้วมันใช่การใช้ชีวิตในหนึ่งวันของมนุษย์รึไง”
จะว่าเขาแอบอู้งานก็ได้ไร้เรี่ยวแรงก็ดีจะอย่างไรเขาก็ไม่คิดขยับตัวแล้วอยู่ในคฤหาสน์สกุลตี๋หนึ่งวันยังเหน็ดเหนื่อยกว่าอยู่ในหุบเขาอีกเท้าแทบไม่ห่างพื้นน้ำท่าแทบไม่ได้ดื่มใช้งานเขาอย่างกับม้ากับวัว
แต่ยังมีข้อดีอยู่บ้างอย่างน้อยได้สำรวจโครงสร้างภายในคฤหาสน์ส่วนหนึ่งผู้คนในคฤหาสน์ต่างทราบว่าเขาเป็นบ่าวรับใช้ของตี๋เยวี๋ยนฮว่าแม้จะแปลกใจกับการปรากฏตัวของเขาทว่าผ่านไปไม่นานก็ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนอย่างนั้นนั่นทำให้เขาสามารถไปไหนมาไหนในคฤหาสน์ได้อย่างอิสระ
แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นตี๋เยวี๋ยนฮว่าวางแผนไว้ทุกหนทุกแห่งในคฤหาสน์ล้วนมีคนคอยสอดส่องจับตาดูเขาแค่เขามองไม่เห็นเท่านั้น
“ซูเหยียนเจ้าแอบอู้งานอีกแล้วเอาแต่กินไม่ทำงาน…ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีกนายท่านเรียกหาเจ้าแล้ว” เพิ่งพักหายใจหายคอได้ครู่หนึ่งพ่อบ้านใหญ่ปรากฏตัวดั่งผีสางตามรังควานเจอหน้ากันก็ต้องดุด่าว่ากล่าวเขารอบหนึ่ง
“ข้าจะรีบไป” เขาไม่อยากโต้เถียงกับผู้อาวุโสกว่าทำลายแผนการใหญ่ที่จะช่วยเจ้าเหมียวฝืนกลืนวาจาประชดประชันต่างๆลงไป
อู้งานอันใดอีก? เขาแค่นอนยืดเส้นยืดสายสักเล็กน้อยคนตายยังได้หยุดพักหายใจนับประสาอะไรกับคนเป็นเช่นเขา?
เขาซอยเท้าย้ำถี่จนเกือบวิ่งมาถึงหน้าห้องตี๋เยวี๋ยนฮว่ามองลอดประตูที่แง้มอยู่เข้าไปเห็นเพียงแสงสลัวจากตะเกียงตี๋เยวี๋ยนฮว่าถอดเสื้อนอกออกกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ใต้แสงตะเกียงไม่ทราบว่ากำลังอ่านอันใดกระทั่งดวงตายังไม่กะพริบทุ่มเทสมาธิทั้งหมดลงไปกับตัวอักษรอย่างนั้น
“มาแล้วก็เข้ามา” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าไม่ยอมเงยศีรษะพลิกหน้ากระดาษในมืออ่านต่อไป
“เมื่อครู่ข้ากลับห้องไปดื่มน้ำอึกหนึ่งจึงมาสายขอรับ” เขารีบเปิดประตูก้าวเข้าไปในห้องร้องแก้ต่างให้ตนเอง
“เจ้าเด็กไร้มารยาทเจ้าต้องเรียกนายท่านและเรียกแทนตนเองว่าบ่าว” พ่อบ้านใหญ่ฟังถ้อยคำของซูเหยียนแล้วเคลื่อนกายมาหยุดยืนอยู่เบื้องหลังเขาเคาะศีรษะเขาคราหนึ่ง
“ขอรับ” ซูเหยียนเบ้ปากขัดใจ
“ข้าเมื่อยไหล่เจ้ามานวดให้ข้าที” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าเงยศีรษะขึ้นส่งสายตาเป็นสัญญาณให้พ่อบ้านใหญ่ออกไปก่อนจากนั้นก้มหน้าอ่านตำราสืบต่อ
ซูเหยียนลังเลเล็กน้อยทว่ายังคงก้าวไปเบื้องหน้าหยุดยืนด้านหลังตี๋เยวี๋ยนฮว่าสองมือยื่นออกไปวางบนต้นคอด้านหลังคนตรงหน้าคลำหาจุดเทียนจู้ (6) กดลงไปแผ่วเบา
สำหรับซูเหยียนแล้วเรื่องนวดถือว่าคุ้นเคยยิ่งครั้นอาจารย์สอนวิชาแพทย์ให้เขาก็ได้สอนวิชากดจุดนวดคลึงให้ด้วยทั้งยังบอกว่ากดตรงจุดไหนนวดคลึงตำแหน่งใดมีผลดีต่อร่างกาย
“ฝีมือไม่เลวเจ้าเรียนมานานแล้วหรือ?” ซูเหยียนแสดงฝีมือนวดไปราวอี้เคอ (7) ตี๋เยวี๋ยนฮว่าดวงตาหลับพริ้มหรี่ปรือส่งเสียงครางอย่างเคลิบเคลิ้มออกมา
ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าเด็กเงอะงะงุ่นง่านนี้มีฝีมือนวดที่หาจับได้ยากเพียงกดบีบนวดคลึงไม่กี่คราก็ทำให้เขาตัวเบาหวิวล่องลอยดั่งเทพเซียนยามนี้ต้นคอที่เคยปวดเมื่อยรู้สึกดีขึ้นมาก
“ขอรับตอนเด็กๆท่านแม่ข้าขาไม่ค่อยดีวันไหนฝนตกจะปวดขายิ่งข้าเรียนนวดกดจุดนี้จากแพทย์พเนจรสองสามกระบวนท่า” เขาจะกล้าบอกความจริงได้อย่างไรได้แต่เพิ่มแรงนวดขึ้นอีก
“เด็กกตัญญูแล้ววรยุทธวิชาของเจ้าก็เป็นแพทย์พเนจรคนนั้นสอนให้หรือ?” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าคล้ายเอ่ยถามไปเรื่อยเปื่อย
“ไม่ใช่ขอรับข้าร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กท่านแม่จึงส่งข้าไปร่ำเรียนวรยุทธที่สำนักฝึกยุทธในอยู่เมืองหลายปีเมื่อโตขึ้นถึงได้กลับบ้านขอรับ” ซูเหยียนปลุกปลอบความกล้าตอบออกไปเหงื่อไหลโทรมกาย
วาจายิ่งมากความผิดพลาดก็ยิ่งมากตามนายท่านตี๋ผู้นี้อาจจะขี้สงสัยเกินไปสักหน่อยจับเขาไถ่ถามเป็นเวลานานไม่อาจรับประกันได้ว่าต่อไปเขาจะจับพิรุธอันใดได้
“อายุยังน้อยทว่ามีความสามารถไม่น้อยดูท่าให้เจ้าเป็นบ่าวรับใช้คงไม่ยุติธรรมกับเจ้าเท่าใด”
“ไม่ไม่ใช่ขอรับงานบ่าวรับใช้เหมาะสมกับข้ายิ่ง” ซูเหยียนรีบร้อนส่ายศีรษะติดๆกันหวังจะให้ตี๋เยวี๋ยนฮว่าคลายความสงสัย
ยังคงละเว้นเขาเถอะเป็นบ่าวรับใช้ก็ลำบากอยู่แล้วหากส่งเขาไปทำงานหนักกว่านี้เกรงว่ากระทั่งนอนคงไม่ต้องนอนมันแล้ว
“นี่ก็ดึกมากแล้วเจ้าคงเหน็ดเหนื่อยแล้วกระมังกลับไปพักผ่อนเถอะคืนนี้ไม่ต้องอยู่ปรนนิบัติเรา” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าซึมซับความสบายผ่อนคลายอีกครู่หนึ่งก่อนโบกมือไล่เขาออกไป
“ขอรับนายท่าน” ซูเหยียนขอบคุณฟ้าดินเป็นการใหญ่ก่อนล่าถอยจากห้องไป
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าเป็นคนดีกว่าที่เขาคิดไว้นักไม่เหมือนกับพ่อบ้านใหญ่ที่สร้างความลำบากให้เขาเสมอนอกจากใบหน้านิ่งขรึมราวน้ำแข็งเขายังหาข้อเสียของตี๋เยวี๋ยนฮว่าไม่พบ
ซูเหยียนออกไปได้ไม่นานพ่อบ้านใหญ่ปรากฏตัวข้างกายตี๋เยวี๋ยนฮว่าร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นนายลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนหน้าชั้นหนังสือตรงผนังด้านข้างมือข้างหนึ่งวางลงบนแจกันสีครามก่อนจับหมุนแจกันไปด้านขวาสองรอบชั้นหนังสือเลื่อนเข้าไปด้านหลังเผยให้เห็นทางลับมืดมิดสายหนึ่ง
“ส่งคนไปจับตาดูซูเหยียนเจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดา” หลังจากออกคำสั่งตี๋เยวี๋ยนฮว่าโน้มกายลอดผ่านทางลับเข้าไป
⧫⧫⧫
ซูเหยียนไม่ใช่คนที่จะเชื่อฟังผู้อื่นโดยง่ายหลังจากที่เข้าห้องหับพักผ่อนสักครู่หนึ่งอาศัยความมืดมิดยามจื่อ (7) อำพรางตัว ลอบเร้นกายออกมาจากห้อง เริ่มเคลื่อนกายไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง
แม้เป็นยามดึกสงัดทว่าเวรยามของคฤหาสน์ไม่ได้หละหลวมเขาไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการจะว่าไปแล้วก็บังเอิญยิ่งเขายังไปไหนได้ไม่ไกลก็ได้ยินเสียงร้องคำรามอันคุ้นเคย
“เสียงเจ้าเหมียวนี่!” ซูเหยียนตื่นเต้นดีใจขณะกำลังติดตามไปตรวจสอบอย่างละเอียดเบื้องหลังพลันแว่วเสียงบุรุษทุ่มต่ำดังมา
“ซูเหยียนดึกๆดื่นๆไม่หลับมไม่นอนออกมาทำการอันใด?”
เขาหันหลังกลับไปพบพ่อบ้านใหญ่ที่เกลียดชังเขาวินาทีนั้นใบหน้าเขาขาวซีดสงบใจก่อนร้องตอบ “ท่านพ่อบ้านใหญ่ข้าปวดปัสสาวะรีบร้อนออกมาเข้าส้วมขอรับ”
“ห้องส้วมไม่ได้อยู่ทางนี้”
“ข้าไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกไม่คุ้นทางอยู่บ้างจึงได้หลงทางขอรับ” ซูเหยียนลูบศีรษะป้อยๆแสร้งสะดุ้งตกใจอย่างโง่งม
“หึเช่นนั้นเจ้ายังไม่รีบไปอีก”
“ขะขอรับ”
ซูเหยียนวิ่งลนลานมุ่งไปยังห้องส้วมในใจลอบด่าบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของพ่อบ้านใหญ่รอบหนึ่งดูท่าคืนนี้คงออกมาข้างนอกอีกไม่ได้แล้ว
เขารีบเร่งจากไปจึงไม่ได้สังเกตเบื้องหลังของพ่อบ้านใหญ่ว่ามีเงาร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่เป็นเจ้าของคฤหาสน์สกุลตี๋…ตี๋เยวี๋ยนฮว่า
“เจ้าทำเขาตกใจแล้ว” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าเม้มริมฝีปากบางเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“บ่าวเพียงกลัวว่าเขาจะรู้ความลับมากเกินไปดังนั้นจึง…”
“เรารับเขาเข้ามาต้องการทราบว่าเขามีจุดประสงค์อันใดเจ้ากระทำเช่นนี้กลับทำลายแผนของเรา”
“ขอประทานอภัยครั้งหน้าบ่าวไม่กล้าแล้วขอรับ” พ่อบ้านใหญ่รีบก้มหน้าน้อมรับความผิด
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าพลันฉุกนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “เสียงคำรามเมื่อสักครู่คือเรื่องราวใด?”
“เรียนท่านประมุขน้อยเป็นเสียงของเสือขาวตัวหนึ่งที่เจ้าสำนักมังกรเขียวส่งมาให้ท่านเมื่อไม่นานมานี้รอฝึกจนเชื่องแล้วจะส่งมอบให้ท่านเป็นของขวัญวันเกิดขอรับ” พ่อบ้านใหญ่เหงื่อไหลโทรมหน้า
“อ้อเสือขาวตัวนั้นจับมาจากที่ใด?” นัยน์ตาทอประกายตี๋เยวี๋ยนฮว่าไถ่ถามสืบต่อ
“ได้ยินมาว่าจับมาจากในป่าเปลี่ยวร้างห่างไกลแห่งหนึ่งเจ้าสำนักมังกรเขียวกล่าวว่าเสือขาวเป็นสัตว์แสนรู้เข้าใจภาษามนุษย์สิ้นเปลืองความคิดไปมากมายกว่าจะจับเสือตัวนี้ได้”
“เข้าใจภาษามนุษย์…เจ้าเสือตัวนี้อาจมีเจ้าของหรือผ่านไปสักระยะหนึ่งเจ้าของอาจเสาะหาติดตามมาถึงที่นี่” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าไม่ได้ดีใจกับของขวัญชิ้นนี้สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“เมื่อค้นหามาถึงที่นี่แล้วอย่างไรพวกเราลัทธิหนึ่งฟ้ายังต้องกลัวอันใดอีกหรือ”
“ปัญญาชนไม่ควรยึดถือสิ่งของของผู้อื่นมาเป็นของตนถึงจะเป็นสัตว์เดรัจฉานเมื่อมีเจ้าของและเจ้าของมันเสาะหามาถึงก็ส่งมอบกลับคืนไป” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าส่ายศีรษะไม่เห็นด้วยกับความคิดของพ่อบ้านใหญ่
หากเขาคาดเดาไม่ผิดพลาดซูเหยียนคงได้ยินเสียงคำรามของเสือขาวจึงติดตามมาทางนี้ใบหน้าแสดงความตื่นเต้นดีใจเกรงว่าเพื่อเสาะหาเจ้าเสือตัวนี้จึงมายังที่นี่ทว่าเพราะผู้คุ้มกันคฤหาสน์มีวรยุทธแกร่งกล้าเข้มแข็งคราแรกที่เขาลอบเข้ามาจึงไม่ได้เบาะแสอันใดจากนั้นได้ปลอมแปลงเป็นขอทานแฝงตัวเข้ามา
ช่างเป็นเด็กที่เจ้าเล่ห์ซุกซนเสียจริงทราบว่าต้องใช้ความคิดไม่อาจใช้กำลังแย่งชิงน่าเสียดายที่คู่มือคือเขาตี๋เยวี๋ยนฮว่าปรารถนาชัยชนะนั้นไม่ง่ายนัก!
“ท่านประมุขน้อยกล่าวได้ถูกต้อง”
ซูเหยียนไม่กล้ารั้งรออยู่นานเมื่อออกมาจากห้องส้วมก็รีบตรงกลับไปยังห้องของตนปิดประตูห้องด้วยความระทึกตื่นเต้นแผ่นหลังอิงแนบกับประตูมือกำเป็นหมัดแน่น
ความพยายามของเขาไม่เสียเปล่าแม้จะลำบากยุ่งยากจนหัวหมุนทว่าก็ได้เบาะแสของเจ้าเหมียวแล้ว
⧫⧫⧫
แม้การเคลื่อนไหวครั้งนี้ล้มเหลวทว่าซูเหยียนก็ไม่ยอมแพ้โดยง่ายเวลาผ่านไปสองวันเขาแอบลอบออกไปกลางดึกไม่รู้ตัวเลยว่าความเคลื่อนไหวทุกย่างก้าวของตนถูกรายงานต่อตี๋เยวี๋ยนฮว่าตั้งแต่ต้นแล้ว
ครานี้เขาพบว่าการคุ้มกันของคฤหาสน์หละหลวมลงไปมากกว่าคราที่แล้วทำให้เขาเข้าถึงบริเวณที่ได้ยินเสียงคำรามของเจ้าเหมียวดังแว่วมาได้ง่ายดายทว่าเมื่อถึงสถานที่นั้นแล้วเพียงกวาดตามองก็รู้สึกโง่งมยิ่งนี่คือสวนดอกไม้ชัดๆไม่ใช่ห้องขังดังที่คาดคิดไว้
“เจ้าเหมียวเจ้าอยู่ที่ใดกัน?” เขาพึมพำกับตนเองเดินค้นหาในสวนดอกไม้ไม่หยุด
จิตใจเขาจดจ่อกับการค้นหาเจ้าเหมียวไม่ได้สังเกตเห็นเงาดำสายหนึ่งหยุดยืนอยู่ไม่ไกลเงาดำสายนี้ติดตามเขามาตั้งแต่ออกมาจากห้องจนมาถึงที่แห่งนี้
ขณะที่ซูเหยียนกำลังเดินวนเวียนงุ่นง่านค้นหาวุ่นวายอยู่นั้นได้ยินเสียงร้องคำรามสะท้านหูลอดออกมาจากสวนดอกไม้ครานี้เขาได้ยินชัดเจนยิ่งเสียงไม่ได้มาจากรอบด้านแต่เป็นดังลอดมาจากใต้พื้นดิน
“เจ้าเหมียวข้ามาช่วยเจ้าแล้ว” เขาตื่นเต้นดีใจยิ่งรีบตั้งสติกำหนดใจให้สงบลง
เสียงคำรามแว่วขึ้นมาจากใต้ดินเช่นนั้นแสดงว่าสถานที่กักขังเจ้าเหมียวจะต้องอยู่ข้างล่างเชื่อว่าทางเข้าน่าจะอยู่บริเวณรอบๆนี้
เรื่องราวไม่ได้ง่ายดายดั่งที่คิดไว้เขาค้นหาทางเข้าอยู่ครู่ใหญ่ก็ยังหาไม่พบร้อนรนจนหลั่งเหงื่อไหลย้อยเขาทรุดกายนั่งตรงหน้าโต๊ะหินในสวนดอกไม้คิดนั่งพักสักหน่อยค่อยค้นหาต่อ
ขณะลุกขึ้นร่างกายชนเข้ากับมุมโต๊ะโดยไม่ได้ตั้งใจใครจะรู้โต๊ะหินพลันส่งเสียงครืดคราดหมุนคว้างสองรอบพื้นใต้เท้าพลันปรากฎหลุมดำมืดขนาดใหญ่เขาไม่ทันได้เคลื่อนกายหลบก็หล่นร่วงลงไปในทางลับเบื้องล่าง
“กำลังคิดชมเชยว่าเป็นเด็กฉลาดยิ่งนี่กลับโง่งมจนตนเองยังตกลงไปด้วย” เงาร่างสูงใหญ่ก้าวออกมาจากที่ซ่อนเป็นตี๋เยวี๋ยนฮว่าที่ติดตามเขามา
เขาติดตั้งกลไกเปิดปิดทางเข้าห้องลับไว้ใต้ดินมีห้องลับอยู่หลายห้องหนึ่งในนั้นใช้กักขังเสือขาวยักษ์ที่เพิ่งส่งเข้ามา
เพราะปฏิกิริยาผิดปรกติของซูเหยียนในวันนั้นตี๋เยวี๋ยนฮว่าจึงได้สอบถามเจ้าสำนักมังกรเขียนอย่างละเอียดว่าเสือขาวยักษ์ตัวนั้นมีความเป็นมาอย่างไรจึงยิ่งมั่นใจว่าซูเหยียนคือเจ้าของเสือขาวยักษ์ตัวนี้อย่างแน่นอน
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าไม่ได้รุกถามซูเหยียนโดยตรงการปรากฏตัวของซูเหยียสร้างความสงสัยให้เขาไม่น้อยแต่ก็สร้างความสนุกสนานสำราญใจให้เขาที่หลายปีมานี้เอาแต่ฝึกวิชาฝีมือดังนั้นเขาจึงตัดสินใจให้โอกาสซูเหยียนสักครั้งดูว่าซูเหยียนจะหาสถานที่กักขังเจ้าเสือขาวพบหรือไม่
ซูเหยียนร่วงตกลงมาร่างกายกระแทบพื้นหนักหน่วงศีรษะมึนงงดวงตาสองข้างพร่างพรายไปด้วยประกายดาวระยับร่างฟุบอยู่บนพื้นไม่กล้าส่งเสียงร้องโอดโอยเจ็บปวดฝืนพยุงเอวลุกขึ้นยืนเพิ่งเห็นว่ารอบด้านมืดมิดมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าทว่าเขาน่าจะมาถูกที่แล้ว
“เจ้าเหมียวเจ้าอยู่ที่ไหน?” ซูเหยียนร้องตะโกนออกมาไม่ดังนักเพียงหวังว่าเจ้าเหมียวจะได้ยินเสียงของเขาแล้วส่งเสียงร้องตอบกลับมา
ฮว่า———
เป็นดังไปดังคาดเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวของเจ้าเหมียวดังลอดออกมาจากในทางลับเมื่อตั้งใจฟังพบว่าดังมาจากทางขวาไม่ไกลตรงนั้นคล้ายมีแสงสว่างอยู่จุดหนึ่งเขารีบพุ่งตัวไปด้านนั้นราวลูกธนูหลุดจากแหล่ง
“เจ้าเหมียว!” ซูเหยียนร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้นดีใจ
คุกใต้ดินอันมืดสลัวเปลวตะเกียงน้ำมันเหลืองอ่อนเลือนรางวูบไหวเห็นเพียงเสือขาวยักษ์ขนาดเท่าครึ่งช่วงตัวมนุษย์ถูกขังอยู่ในกรงเหล็กขนาดใหญ่เมื่อเห็นซูเหยียนมันร้องคำรามและกระแทกกรงเหล็กกล้าไม่หยุด
นี่ไม่ใช่เจ้าเหมียวของเขาแล้วจะแมวตัวไหน!
“เจ้าเหมียวไม่ต้องร้องแล้วข้าจะช่วยเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้” เขายื่นมือลอดผ่านซี่กรงที่มีขนาดความหนาเท่าหัวแม่มือเข้าไปลูบไล้ศีรษะใหญ่เป็นการปลอบประโลมมัน
เจ้าเหมียวได้ยินวาจาของเขาก็ไม่ได้ร้องอีกหมอบร่างลงอย่างเชื่องเชื่อฟังดวงตาหรี่ปรือรับสัมผัสลูบไล้จากเขาบางคราก็แลบลิ้นเลียมือเขา
“ดูท่าคงเป็นสัตว์เลี้ยงของเขาจริงๆ” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าพยักหน้าน้อยๆเร้นกายอยู่ในความมืดไม่ได้ปรากฏตัวออกไปเปิดโปงซูเหยียน
ไม่ช้าก็เร็วล้วนต้องปล่อยเจ้าเสือตัวนี้ไปทว่าเขาต้องการดูว่าซูเหยียนจะมีวิธีการใดปล่อยเสือขาวยักษ์ออกมาจากกรงเจ้าสำนักมังกรเขียวให้กุญแจไขสลักกรงนั้นแก่เขาตั้งแต่แรกแล้ว
ซูเหยียนก้มหน้าก้มตาขยับสับหมุนสลักกลอนขนาดใหญ่ไปมาอยู่ครึ่งชั่วยาม (9) ยังคงไม่สามารถไขออกได้ เจ้าเหมียวแสดงอาการกระวนกระวายเล็กน้อย เดินวนไปวนมาอยู่ในกรง บางคราร้องคำรามเสียงต่ำออกมา
“ทำอย่างไรดีไขไม่ออกจะยอมแพ้เช่นนี้หรือ?” เหงื่อไหลจนชุ่มโชกแผ่นหลังยังคงไม่สามารถทำอันใดได้
จะพยายามทำต่อไปหรือพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่…
หากพยายามต่อไปเกรงว่าฟ้าคงสว่างเสียก่อนกอปรกับเขาไม่รู้ว่าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไรหากออกไปไม่ได้เกรงว่าพรุ่งนี้พ่อบ้านใหญ่จะต้องรู้ว่าเขาหายไปและต้องเสาะหามาถึงที่นี่ในไม่ช้า…
ทว่าหากยอมล่าถอยตอนนี้ผู้ใดจะทราบได้ว่าพรุ่งนี้เจ้าเหมียวจะถูกทำร้ายหรือไม่?
เผชิญกับสองทางเลือกอันยากลำบากเขาไม่รู้ว่าต้องเลือกอย่างใดดี!
หยดเหงื่อไหลจากขมับทั้งสองข้างลงมาไม่หยุดเขายกมือขึ้นปาดเช็ดเหงื่อข้างขมับเผยลำแขนขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาดังหยกครึ่งหนึ่งตำแหน่งข้อมือพลันปรากฏรอยปานสีแดงเข้มลักษณะเหมือนมีมาแต่กำเนิดมองดูแล้วรูปร่างคล้ายดอกกล้วยไม้ยังไงอย่างงั้น
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าที่หลบซ่อนตัวในที่มืดสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเมื่อเห็นปานแดงรูปร่างคล้ายดอกกล้วยไม้ดวงตาราวกับมีประกายไฟจุดติดอย่างนั้นเขาเพ่งสายตาเร่งร่อนไปที่แขนของซูเหยียนตื่นเต้นจนทั้งร่างสั่นสะท้าน
ตี๋เยวี๋ยนฮว่ากลับสู่ท่าทีปรกติอย่างรวดเร็วใบหน้านิ่งเฉยเย็นชาก้าวเดินออกมาจากมุมมืดเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?”
“เจ้า…ตี๋เยวี๋ยนฮว่า!” ซูเหยียนร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจทั้งร่างถอยกรูดไปด้านหลังแผ่นหลังชนเข้ากับกรงเหล็กกล้าอย่างแรงซ้ำรอยแผลเดิมเจ็บปวดจนน้ำตาเล็ด
“ไม่เรียกข้าว่านายท่านแล้วหรือ?” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าก้าวเข้าหาเขาเชื่องช้าในมือถือม้วนกระดาษชุดจุดไฟทำให้ห้องลับสว่างขึ้นมา
“คนของเจ้าจับเจ้าเหมียวมาข้าปลอมตัวเป็นขอทานเข้ามาในคฤหาสน์ไม่ได้มีเจตนาร้ายเพียงคิดช่วยเจ้าเหมียวออกไปเท่านั้น” ยามนี้คิดปิดบังอย่างไรก็คงปิดไม่มิดซูเหยียนกัดฟันแน่นเช่นนั้นเผยไต๋ให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย
“เรียกมันว่าเจ้าเหมียวเจ้าเลี้ยงมันมาหรือ?” สายตาของตี๋เยวี๋ยนฮว่ายังไม่ละจากข้อมือของซูเหยียน
“ใช่แล้วข้ากับเจ้าเหมียวโตมาด้วยกันสนิทชิดเชื้อเหมือนเป็นพี่น้องข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายมัน” ซูเหยียนกางแขนปกป้องกรงใหญ่เบื้องหลังน่าเสียดายที่ร่างกายเขาผอมบางบดบังเจ้าเสือยักษ์ได้แค่ครึ่งตัวเท่านั้น
“เราเคยบอกว่าจะทำร้ายมันหรือเราเหมือนคนชั่วช้าเลวทรามเช่นนั้นเชียว?” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าส่ายศีรษะ
ในความเป็นจริงแล้วอาศัยเพียงรอยปานแดงนี้ไม่มีทางยืนยันได้ว่าเด็กหนุ่มใบหน้างดงามตรงหน้าเป็นคนคนเดียวกันกับที่เขาตามหาอยู่เขายอมฆ่าผิดร้อยคน มิอาจปล่อยไปแม้สักคนเดียว (10) เขาตามหาคนที่อาจารย์ต้องการมาหลายปีแล้วยังมิพบ ประจวบเหมาะได้พบกับซูเหยียน เขายังต้องตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงเสียก่อนจึงตัดสินใจ
“นายท่านตี๋ข้าทราบว่าท่านไม่ได้ขาดแคลนเงินทองขอเพียงท่านปล่อยเจ้าเหมียวเงินทองเท่าใดข้าก็ยินยอมหามาให้ท่าน” ซูเหยียนได้ยินถ้อยคำของตี๋เยวี๋ยนฮว่าระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าตาคมหลุบหรี่พลางเอ่ยถาม “อย่างนั้นหรือเจ้าดูไม่คล้ายลูกหลานเศรษฐีมีอันจะกินแม้แต่น้อย”
“ข้าไม่มีเงินทองแต่อาจารย์ข้ามีอาจารย์ข้าคือประมุขแห่งหุบเขาหมอเทวดา” วาจาง่ายดายเพียงสองสามประโยคซูเหยียนก็เอานามอาจารย์ออกมาขายเสียแล้วทำเอาตี๋เยวี๋ยนฮว่าหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
ยังดีที่เขาไม่ใช่คนเลวไม่เช่นนั้นคงจับตัวซูเหยียนไว้ข่มขู่บีบบังคับอาจารย์เขานี่คงได้ผลกำไรไม่น้อย
“เจ้าไม่เชื่อ?” ซูเหยียนสองตาถลึงมองเขาหอบหายใจฟึดฟัด
ก่อนออกจากหุบเขาอาจารย์สั่งว่าหากพบเจอเรื่องราวยากลำบากให้ประกาศนามหุบเขาออกไปเหตุใดจึงไม่ได้ผลเล่า?
“เชื่อสิเหตุใดเราจะไม่เชื่อเจ้าแต่เราไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าไม่มีท่าทางสนใจปฏิเสธเขาอย่างหมดจดชัดเจน
“เช่นนั้นท่านต้องการสิ่งใด?” ซูเหยียนกัดริมฝีปากล่างนัยน์ตาแดงระเรื่อจ้องมองตี๋เยวี๋ยนฮว่า
เพียงหวังว่าสิ่งที่ตี๋เยวี๋ยนฮว่าต้องการไม่ได้สูงค่ายากเย็นเกินไปไม่เช่นนั้นเขาคงรับผิดชอบไม่ไหวหากอาจารย์รู้เข้าเกรงว่าคงหนีไม่พ้นถูกด่าทอรอบหนึ่ง
“คนมีความสามารถรอบกายข้ามีไม่น้อยขาดเพียงบ่าวรับใช้ฉลาดเฉลียวว่านอนสอนง่ายผู้หนึ่งหลายวันมานี้ข้าเห็นเจ้าปฏิบัติหน้าที่ได้ดียิ่งให้เจ้าทำหน้าที่นี้ต่อไปเป็นอย่างไร?” เห็นท่าทางน่าสงสารของเขาตี๋เยวี๋ยนฮว่าในใจเกิดความคิดกลั่นแกล้งเล่นสนุกกับเขาขึ้นมา
ซูเหยียนน่าเล่นกว่าเหล่าศิษย์ลัทธิที่เขาเคยเจอมายิ่งนักดูก็รู้ว่าเกรงกลัวเขาชัดๆกลับแสร้งทำเป็นไม่กลัวกระทั่งเสนอเงินทองซื้อเขา
น่าสนใจน่าสนใจยิ่ง!
“ไม่ได้ข้ายังมีเรื่องที่ต้องกระทำรั้งอยู่ที่นี่ไม่ได้” ซูเหยียนตะโกนปฏิเสธข้อเสนอของตี๋เยวี๋ยนฮว่าเสียงดัง
เขายังต้องออกไปไขปริศนาสืบหาความเป็นมาของตนเองเมื่อเวลายิ่งผ่านไปนานยิ่งทวีความยุ่งยากหากถึงเวลาหนึ่งตี๋เยวี๋ยนฮว่าเปลี่ยนความคิดเล่าเขากับเจ้าเหมียวคงจบกัน
“ไม่ตกลงก็แล้วไปเถอะเมื่อวานพ่อบ้านเพิ่งบอกเราว่าโถงใหญ่ขาดเก้าอี้หนังเสือผืน…” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าเอ่ยอย่างมีเปรียบข่มขู่คุกความเขาอย่างเปิดเผย
“ชะช้าก่อนข้ารับปากเจ้าก็ได้แต่ข้าจะเป็นบ่าวรับใช้ท่านไปตลอดชีวิตไม่ได้ท่านกำหนดระยะเวลามา” เขาร้องตัดบทพูดของตี๋เยวี๋ยนฮว่าอย่างรวดเร็ว
“หนึ่งปี” ตี๋เยวี๋ยนฮว่ายกนิ้วชี้ขึ้น
ระยะเวลาหนึ่งปีน่าจะเพียงพอให้เขาสืบหาความเป็นมาของซูเหยียนได้หากซูเหยียนไม่ใช่คนที่เขากำลังตามหาเขาจะส่งซูเหยียนและเจ้าเหมียวออกไปจากคฤหาสน์ทันที
“ไม่ได้นานเกินไปอย่างมากสามเดือน” ซูเหยียนไม่ยอมรับข้อเสนอทั้งยังต่อรองเวลากับเขา
“ครึ่งปีอย่าลืมว่าเจ้าเหมียวอยู่ในกำมือของข้า”
“ได้ครึ่งปีก็ครึ่งปีท่านรีบปล่อยเจ้าเหมียวออกมา”
“เมื่อครบครึ่งปีเราจะปล่อยมันออกมาเอง” ตี๋เยวี๋ยนฮว่ารู้สึกว่าวันนี้เขาเอ่ยวาจามากที่สุดวันหนึ่งเมื่อเทียบกับที่แล้วมาอดเหม่อมองซูเหยียนไม่ได้
ภายใต้แสงไฟส่องสว่างดวงตางดงามของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยไฟโทสะแฝงความร้อนรนกังวลใจหยาดน้ำตาแวววาวคลอนัยน์ตาไหวระริกราวกับสัตว์เล็กถูกสัตว์ตัวใหญ่กลั่นแกล้งอย่างไรอย่างนั้นท่าทางน่าสงสารเวทนาเช่นนี้ทำให้จิตใจเขาสั่นไหวรุนแรงยิ่ง
“ท่านประมุขน้อยเกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!” ระหว่างที่พวกเขาทำข้อตกลงกันร่างพ่อบ้านใหญ่มุ่งตรงมายังพวกเขาแหกปากร้องตะโกนเรียกท่านประมุขก่อนคุกเข่าลงตรงหน้าตี๋เยวี๋ยนฮว่า
“ท่านประมุขน้อย?” ซูเหยียนตื่นตะลึงจ้องมองตี๋เยวี๋ยนฮว่าอ้าปากค้าง
เขาไม่ใช่นายท่านตี๋แห่งคฤหาสน์สกุลตี๋หรอกหรือไฉนพริบตาเดียวก็แปรเปลี่ยนเป็นท่านประมุขน้อยได้?
พลันมีเสียงอุทานด้วยความตกใจของพ่อบ้านใหญ่ดังขึ้นมาในคุกใต้ดิน “ไฉนเจ้ามาอยู่นี่?”
อัพเดทเมื่อวันที่ : 23 ธันวาคม 2559
ซูเหยียนจ้องมองพ่อบ้านชราปราดหนึ่ง กำลังครุ่นคิดว่าไหนๆ ฐานะที่แท้จริงของตนก็ถูกตี๋เยวี๋ยนฮว่าเปิดโปงแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ผู้คนอีก ย้อนถามพ่อบ้านใหญ่กลับไป
“เจ้ามาได้ทำไมข้าจะมาไม่ได้?”
“เจ้า…” พ่อบ้านใหญ่หนวดเครากระตุกถลึงตามองเขาถูกซูเหยียนกระตุ้นโทสะใบหน้าผู้อาวุโสกว่าแดงก่ำ
“ข้าเป็นบ่าวรับใช้ของนายเจ้าไม่ใช่บ่าวรับใช้ของเจ้าเจ้ายุ่งอันใดด้วย” เมื่อได้ปลดปล่อยความอึดอัดคับข้องใจที่กักเก็บมาหลายวันนี้ออกมาอารมณ์ของซูเหยียนดีขึ้นมาก
“รนหาที่ตาย?!” พ่อบ้านกำหมัดง้างขึ้น
“พอแล้วด้านนอกเกิดเรื่องใหญ่อันใดไม่ทราบพวกเจ้ายังทะเลาะกันเป็นเด็กๆอีก” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าหัวคิ้วขมวดยุ่งตัดบทยุติการทะเลาะโต้เถียงของพวกเขา
“ท่านประมุขน้อยเว่ยเยียนเอ๋อร์นำคนจากนอกด่านจำนวนหนึ่งลอบเข้ามาขอรับไม่ทราบว่าใช้พิษอันใดพี่น้องที่เข้าใกล้นางทั้งหมดล้วนล้มลงกับพื้นร้องเจ็บปวดไม่หยุดโลหิตหลั่งไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด” พ่อบ้านอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกอย่างตื่นตระหนกตกใจ
“เว่ยเยียนเอ๋อร์อันประเสิร์ฐเรากำลังกลัดกลุ้มเรื่องหาตัวนางไม่พบนางกลับรนมาหาถึงที่!” ตี๋เยวี๋ยนฮว่ามือกำเป็นหมัดแน่นนัยน์ตาแดงก่ำกัดฟันกรอด
“เว่ยเยียนเอ๋อร์คือผู้ใด?” ซูเยียนชะเง้อคอขึ้นเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“คนทรยศของลัทธิเรา” เอ่ยจบตี๋เยวี๋ยนฮว่าทิ้งชุดจุดไฟในมือยืดอกตรงก้าวเดินอย่างผ่าเผยออกจากทางลับใต้ดินไป
“นี่รอข้าด้วย” ซูเหยียนรีบติดตามเขาออกไป
หากเป็นเรื่องพิษแล้วเขาพอช่วยเหลือได้บ้างเล็กน้อยเขาร่ำเรียนวิชาแพทย์มาจากหุบเขาหมอเทวดาเพื่อช่วยเหลือผู้คนจะว่าไปหากเขาช่วยชีวิตคนในคฤหาสน์สกุลตี๋ใช้โอกาสนี้เรียกร้องให้ตี๋เยวี๋ยนฮว่าปล่อยเจ้าเหมียวของเขาออกมาไม่แน่ว่าอาจสำเร็จ
ระหว่างทางที่ติดตามไปทุกแห่งหนในคฤหาสน์สกุลตี๋ล้วนสับสนอลหม่านเสียงต่อสู้อันดุเดือดแว่วมาเป็นพักๆคนคุ้มกันหลายสิบคนล้มลงเกลื่อนพื้นโลหิตหลั่งไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดสภาพอเน็จอนาจยิ่งส่วนตี๋เยวี๋ยนฮว่ากำลังปะทะโรมรันกลางอากาศกับสตรีชุดแดงบนยอดกำแพง
“ท่านประมุขน้อยระวังตัวด้วยขอรับ”
ด้านพ่อบ้านใหญ่ทางหนึ่งกำลังวุ่นวายกับการตรวจดูอาการบาดเจ็บของคนคุ้มกันอีกทางหนึ่งลอบกังวลใจแทนตี๋เยวี๋ยนฮว่าหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ
“เจ้าอย่าขยับพวกมันได้รับพิษให้ข้าตรวจดู” เขารู้ดีว่าวรยุทธแมวสามขาเช่นเขาไม่อาจเข้าร่วมวงฆ่าฟันได้แต่แรกแล้วทำได้เพียงคุกเข่าลงตรวจดูว่าผู้คุ้มกันคนไหนพอจะช่วยชีวิตได้บ้าง
โชคดีที่ซูเหยียนมาทันเวลาหลังจากคลำจับชีพจรของเหล่าผู้คุ้มกันแล้วเขาแสดงทักษะความสามารถด้านการแพทย์จัดการป้อนยารักษาอาการไว้ชั่วคราวการกระทำของเขาอยู่ในสายตาของสตรีชุดแดงพอดี
“เจ้าเป็นใคร? ถึงได้กล้าช่วยเหลือคนที่ข้าต้องการสังหารสมควรตาย!” สตรีชุดแดงเลิกคิ้วน้ำเสียงเย็นแทบมอบฝ่ามือแห่งความตายให้เขา
“เว่ยเยียนเอ๋อร์คู่มือของเจ้าคือข้า” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าหัวเราะเสียงเย็นยกฝ่ามือขึ้นตบไปบนไหล่ของนางเริ่มการต่อสู้สืบต่อ
การต่อสู้กลางอากาศของตี๋เยวี๋ยนฮว่าและสตรีชุดแดงยิ่งนานยิ่งดุเดือดนางไม่ใช่คู่มือของเขาร่างบางค่อยๆร่วงลงสู่พื้นสายตาที่จับจ้องซูเหยียนเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“พ่อบ้านใหญ่เจ้าพยุงพวกเขาขึ้นมาก่อนข้าจะไปดูคนอื่นต่อ” ซูเหยียนชี้นิ้วไปยังคนคุ้มกันที่เขาเพิ่งช่วยชีวิตไว้สื่อความหมายให้พ่อบ้านพาคนออกไปก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บซ้ำสอง
“ได้ที่นี่ฝากเจ้าด้วย” พ่อบ้านชราเห็นเขามีความสามารถเช่นนี้ความดูถูกดูแคลนเขาในใจได้สลายไป
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าลงมือไร้ไมตรีรุกไล่โจมตีพลางเอ่ยพลาง “เว่ยเยียนเอ๋อร์เจ้าช่างใจกล้านักขโมยศิลาศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิข้ายังกล้าเข้ามาก่อเรื่องในที่ของข้ารีบส่งศิลาศักดิ์สิทธิ์มาแต่โดยดีแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักคราหนึ่ง”
“น่าขันข้ากล้ามาเพราะข้าไม่กลัวเจ้าอย่าคิดว่าฝึกวิชาหลายปีจะเก่งกาจกว่าข้าศิลาศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือข้าตำแหน่งประมุขต้องเป็นของข้าต่อไปข้ามีอำนาจเกรียงไกรจะคิดถึงความสัมพันธ์ศิษย์พี่ศิษย์น้องละเว้นชีวิตเจ้าสักคราแล้วกัน” เว่ยเยียนเอ๋อร์ตาต่อตาฟันต่อฟันในวาจากลับเผยความสัมพันธ์สนิทชิดใกล้
“ระหว่างพวกเราไม่มีอันใดให้เอ่ยถึงเราจะมอบโอกาสรอดแก่เจ้าอีกครั้งส่งศิลาศักดิ์สิทธิ์มา” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าสะบัดฝ่ามือกระแทกเข้าหน้าอกของนาง
เว่ยเยียนเอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าตี๋เยวี๋ยนฮว่าจะลงมือด้วยความอำมหิตเช่นนี้ร่างอ้อนแอ้นรับฝ่ามืออย่างจังอ้าปากกระอักโลหิตคำหนึ่งทั้งร่างร่วงลงไปเบื้องล่างเมื่อลงถึงพื้นขดตัวเป็นก้อนกลมไม่อาจลุกขึ้นได้โดยทันที
“ครานี้คงไม่มีวาจาให้เอ่ยแล้วรีบส่งศิลาศักดิ์สิทธิ์ออกมาเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนจะละเว้นชีวิตเจ้า” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าพริ้วกายลงพื้นอย่างมั่นคงย่างกายเข้าหาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเว่ยเยียนเอ๋อร์
“อย่าฆ่าข้าข้าจะมอบให้เจ้า” เว่ยเยียนเอ๋อร์ถูกข่มขู่จนแตกตื่นลนลานใบหน้าไร้สีล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อนำของสิ่งหนึ่งออกมาออกแรงขว้างไปยังเท้าของตี๋เยวี๋ยนฮว่า
ปุ้ง!
เสียงระเบิดดังกึกก้องควันสีชมพูพวยพุ่งออกมาปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณแม้ตี๋เยวี๋ยนฮว่าระมัดระวังตัวไว้แล้วยังคงสูดดมควันสีชมพูเข้าไปบางส่วนซูเหยียนที่อยู่ด้านหลังห่างจากเขาไปไม่ไกลรับโชคร้ายอันใหญ่หลวงนี้ไว้อีกคนเขาสำลักควันหวานเลี่ยนจนเกือบสลบไป
“เว่ยเยียนเอ๋อร์เจ้ารู้ว่าข้าไม่กลัวพิษ” ตี๋เยวี๋ยนฮว่ายืนตระหง่านอยู่ทีเดิมจ้องมองสตรีที่นอนอยู่บนพื้น
“ฮ่าๆศิษย์พี่สิ่งที่ข้าใช้ไม่ใช่พิษ” แม้สีหน้าเว่ยเยียนเอ๋อร์แสดงความเจ็บปวดทว่ายังฝืนลุกนั่ง ยกมือขึ้นแตะหยาดโลหิตบนริมฝีปากแดงกระหยิ่มยิ้มย่องมองมาทางเขาไม่หยุด
“แล้วเป็นสิ่งใด?” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าสีหน้าแปรเปลี่ยนฉับพลันร้องไต่ถาม
ทางหนึ่งเอ่ยถามทางหนึ่งลอบเกร็งกำลังภายในเดินลมปราณตรวจสอบจุดชีพจรภายในร่างกายทว่าไม่พบความผิดปรกติหรือว่าเว่ยเยียนเอ๋อร์จะหลอกเขา?
“นี่เป็นยาสุขโอสถจากดินแดนตะวันตก…” ซูเหยียนอ่ยออกมาน้ำเสียงสั่นเครือใบหน้างดงามแดงระเรื่อกว่ายามปรกติ
เว่ยเยียนเอ๋อร์เอ่ยเสียงกระด้าง “เจ้าช่างมีความสามารถเสียจริงหากไม่ใช่เจ้าทำลายแผนการของข้าข้าคงไม่คิดใช้ยาสุขโอสถนี้กับพวกเจ้า”
“ตี๋เยวี๋ยนฮว่ารีบจับตัวนางไว้” ซูเหยียนร้องออกมาเสียงดัง
ยาสุขโอสถนี้ไม่ใช่สิ่งดีงามอันใดมันเป็นยาปลุกกำหนัดร้ายแรงของดินแดนตะวันตกยาสุขโอสถไม่เหมือนกับยาปลุกกำหนัดทั่วไปที่เพียงแค่ร่วมหลับนอนกับสตรีก็สามารถถอนฤทธิ์ยาได้การขจัดฤทธิ์ยานั้นต้องร่วมหลับนอนกับเพศเดียวกันเท่านั้นเมื่อเห็นสีหน้าฉงนสงสัยของตี๋เยวี๋ยนฮว่าเขาคงไม่เคยได้ยินเรื่องยาชนิดนี้มาก่อน
“หึๆข้ายังมีเรื่องต้องกระทำขออภัยที่ไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนเล่นพวกเจ้า” เว่ยเยียนเอ๋อร์เห็นสถานการณ์ว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบจึงไม่กล้ารั้งอยู่นานยืดกายใช้วิชาตัวเบาเหาะเหินหนีไป
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าไม่ยอมปล่อยนางหนีไปเด็ดขาดทว่าขณะเคลื่อนขยับกายส่วนที่แสดงความเป็นบุรุษเพศกลางกายพลันมีปฏิกิริยาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนทำให้เขาหยุดชะงักเท้าไว้คิดติดตามไปก็ไม่เห็นแม้แต่เงาหลังของเว่ยเยียนเอ๋อร์แล้ว
“จบกัน…ครั้งนี้แย่แล้ว…” ซูเหยียนแข้งขาสองข้างอ่อนยวบทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้นสีหน้าลนลานแทบร่ำไห้
ทำไมเขาถึงโชคร้ายอย่างนี้เพิ่งออกหุบเขามาเจ้าเหมียวก็ถูกผู้คนจับไปกว่าจะหามันเจอนั้นแสนลำบากยากเย็นหนำซ้ำยังถูกบังคับให้เป็นบ่าวรับใช้อีกตอนนี้ยิ่งดียิ่งถูกยาปลุกกำหนัดซังกะบ๊วยไหนต้องหาคนมาช่วยถอนฤทธิ์ยาอีก…
“ยาสุขโอสถคือสิ่งใด?” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าหยุดยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานเอ่ยถามออกมา
“ไม่ใช่สิ่งดีงามอันใดเจ้าไม่ต้องรู้หรอก” ซูเหยียนไม่ต้องการบอกเขา
ซูเหยียนรู้ตัวเองดีว่าสู้ตี๋เยวี๋ยนฮ่าไม่ได้หากต้องร่วมด้วยช่วยกันขจัดฤทธิ์ยาเกรงว่าตี๋เยวี๋ยนฮว่าคงมิใช่คนที่ต้องอยู่ด้านล่าง…
เขาไม่ต้องการเป็นคนที่ถูกกด!
“รีบบอกมาไม่เช่นนั้นเราจะไปสังหารเจ้าเหมียวของเจ้าเดี๋ยวนี้” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าตรวจพบว่าร่างกายของตนผิดปรกติไปหายใจเข้าออกเร่งเร้าขึ้น
แม้เขาคาดเดาได้เลือนรางว่าสิ่งนี้คืออะไรทว่ายังคงให้ซูเหยียนยืนยันสิ่งที่เขาคิด
“คะ…คือ…คือยาปลุกกำหนัดชนิดหนึ่ง…ตะ…ต้องให้บุ…บุรุษ…”ซูเหยียนเอ่ยอ้ำๆอึ้งๆพยายามควบคุมความรุ่มร้อนที่กระพือขึ้นในร่างกายส่งเสียงครางออกมาแผ่วเบา
“ดูเหมือนเจ้าได้รับยาเข้าไปมากกว่าเรา” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าหันกลับไปมองเขาใบหน้าที่เคยนิ่งกระด้างเยือกเย็นปานน้ำแข็งหมื่นปีปรากฏริ้วรอยแดงระเรื่อที่ยากพบเห็นนักแววตาไม่ได้เฉยชาอีกต่อไป
“ยัง…ยังดีอยู่” เขาส่งเสียงกระแอมไอในลำคอคิดถูไถเอาตัวรอด
“ในเมื่อพวกเราได้รับยาทั้งคู่เช่นนั้นเรามาพยายามร่วมด้วยช่วยกันขจัดฤทธิ์ยาจนถึงที่สุดเถอะ” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าเติบโตมาในลัทธิหนึ่งฟ้าแต่ไหนแต่ไรมาล้วนกระทำตามอำเภอใจน้อยนักที่จะสนใจความต้องการของผู้อื่นคิดอ่านอย่างไรก็เอ่ยออกมาอย่างนั้น
สำหรับเขาแล้วความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษเพศไม่มีอันใดไม่เหมาะสมลัทธิหนึ่งฟ้ามีศิษย์ที่เป็นชายมากมายและยังมีศิษย์ชายรักกันไม่น้อย
จะว่าไปแล้วก็แค่เรื่องถอนฤทธิ์ยาตัวเขาเป็นพวกรักความสะอาดแต่เดิมมิชมชอบกระทบต้องตัวบุรุษแต่ยามนี้ซูเหยียนก็ถูกฤทธิ์ยาเล่นงานเช่นกันเขาไม่ได้รังเกียจซูเหยียนไม่ต้องไปหาผู้อื่นมาช่วยถอนพิษคนใกล้ตัวนั้นดีกว่าอยู่แล้ว
ทว่าซูเหยียนไม่คิดเช่นนั้นเขาเคยได้ยินสิ่งที่อาจารย์กับอาจารย์หญิงทำด้วยกันโดยไม่ได้ตั้งใจเขาทราบว่าอาจารย์หญิงเป็นฝ่ายถูกกระทำแม้ได้ยินเสียงร้องครวญครางสุขสมของอาจารย์หญิงทว่าวันต่อมาสีหน้าอาจารย์หญิงกลับย่ำแย่นักกระทั่งเอวยังขยับเขยื้อนไม่ได้เขาจะไม่ยอมอยู่ด้านล่างเด็ดขาด
เห็นรูปร่างท่าทางของตี๋เยวี๋ยนฮว่าเช่นนี้ไม่คล้ายกับคนที่อยู่ด้านล่างทว่าเขาไม่คิดอยู่ด้านล่างเหมือนกัน
“หากเจ้ายังต้องการเจ้าเหมียวของเจ้าเช่นนั้นพวกเราก็ต้องช่วยกันขจัดพิษไม่ใช่หรือ?” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าไม่ได้บังคับเขาเพียงโยนปัญหาอันยากเย็นนี้ให้เขา
“ข้า…ข้า…” ซูเหยียนอ้ำอึ้งสีหน้าลำบากใจไม่ทราบต้องตอบอย่างไรดี
“หากเจ้ายังลังเลเช่นนี้เกรงว่าเราคงทนไม่ไหวจัดการเจ้าเสียตรงนี้” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าก้าวไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าวให้เขาเห็นสิ่งโป่งพองที่ซ่อนอยู่ในกางเกงได้ชัดเจน
“เอาเถอะเข้าไปข้างในก่อนค่อยว่ากัน” ซูเหยียนอับจนปัญญาทำได้เพียงยอมถอยก้าวหนึ่งผู้ใดให้เขาโดนยาด้วยเล่า
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าไม่กล่าวอันใดมากความโอบกอดเขาเดินไปยังห้องนอนอย่างรวดเร็วตลอดทางฝีเท้าย้ำถี่ราวเหาะเหินคล้ายกับมีอสรพิษร้ายกำลังติดตามอยู่เบื้องหลังอย่างนั้น
เมื่อเข้าไปในห้องซูเหยียนรีบจับแขนตี๋เยวี๋ยนฮว่าไว้อาศัยโอกาสนี้ยื่นข้อเสนอ “ถอนฤทธิ์ยานั้นย่อมได้ทว่าหลังจบเรื่องนี้เจ้าต้องปล่อยเจ้าเหมียว”
“เจ้าอาศัยสิ่งใดมาต่อรองกับเรา?” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าปฎิเสธเสียงเย็นโดยไม่คิด
“เจ้าไม่ต้องการถอนฤทธิ์ยาแล้ว?” ซูเหยียนกัดริมฝีปากล่างจ้องมองตี๋เยวี๋ยนฮว่าอย่างเคืองโกรธ
หากเจ้าเหมียวไม่ใช่เสือขาวตัวใหญ่ตัวหนึ่งละก็แล้วไปเถอะเขาคงไม่ยินยอมสละตัวเองเช่นนี้ไฉนตี๋เยวี๋ยนฮว่ายังไม่ยอมปลดปล่อยมันอีก?
“คิดว่าที่แห่งนี้มีแค่เจ้าหรือ?” ตี๋เยวี๋ยนฮว่ายักคิ้วไม่ได้นำวาจาของเขามาใส่ใจ
ซูเหยียนเองก็ได้รับยาเขาไม่เชื่อว่าเจ้าเด็กนี่จะทนทานต่อไปได้นาน
“เจ้า…” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าโอบรั้งร่างเขาเข้าสู่อ้อมกอดความปรารถนาดั่งม้าป่าวิ่งทะยานออกไปในทุ่งราบทำให้ซูเหยียนไม่อาจควบคุมได้หากไม่ใช่ใจประหวัดคำนึงถึงเจ้าเหมียวเกรงว่าคงถูกตี๋เยวี๋ยนฮว่าผลักล้มลงกับพื้นแต่แรกแล้ว
“ต้องการให้เจ้าเหมียวของเจ้ามีชีวิตรอดก็สงบปากสงบคำเชื่อฟังข้า”
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าจ้องมองสองแก้มแดงระเรื่อของเขาอย่างสนอกสนใจริมฝีปากของซูเหยียนทำให้ไฟปรารถนาในร่างของเขาลุกโชนแทบประทุออกมาร่างกายราวถูกไฟแผดเผาส่วนกลางลำตัวโป่งนูนแทบทะลุกางเกงออกมาเขาไม่อาจทนรับความร้อนของไฟปรารถนาที่ลุกฮือนี้ได้รีบเชยคางซูเหยียนขึ้นครอบครองริมฝีปากบางด้วยจุมพิตดุเดือดรุนแรงบีบบังคับให้ซูเหยียนเปิดปากส่งเรียวลิ้นลุกล้ำเข้าไปกระหวัดเกี่ยวร่ายรำ
ซูเหยียนคิดปฏิเสธขัดขืนทว่าสองแขนราวกับไม่ใช่ของตนเองยกขึ้นโอบรอบคอตี๋เยวี๋ยนฮว่าตอบสนองจุมพิตเขากลับไป
ซูเหยียนรู้ว่าเช่นนี้ไม่ถูกต้องทว่ากลับไม่อาจควบคุมตนเองได้ความร้อนรุ่มผุดขึ้นมาจากท้องน้อยแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์เขาคิดว่าตนเองคงใกล้ละลายแล้ว…
“อืม…”
จุมพิตนี้ช่างแสนยาวนานจนซูเหยียนแทบหายใจไม่ออกตี๋เยวี๋ยนฮว่าปล่อยเขาอย่างเสียดายมือใหญ่ข้างหนึ่งเคลื่อนไหวลูบไล้ด้วยความเพลิดเพลินไปทั่วเรือนร่างก่อนจัดการแหวกสาบเสื้อเขาออกสอดมือเข้าไปลูบคลำด้านใน
“รสชาติไม่เลวอย่างน้อยก็ดีกว่าที่คิดไว้” ตี๋เยวี๋ยนฮว่ามุมปากหยักยกไม่ได้แสดงสีหน้ารังเกียจเขาไม่ได้รู้สึกขยะแขยงจนรับไม่ได้ดังเช่นที่คาดคิดไว้แต่เดิมคิดว่าจุมพิตกับบุรุษคงไม่ได้รู้สึกดีเท่าใดนักทว่าเรือนร่างซูเหยียนแผ่กลิ่นหอมของสมุนไพรอ่อนจางช่วยควบคุมความปรารถนาราวสัตว์ป่าของเขาได้เล็กน้อยผลลัพธ์จึงเหมือนเป็นที่น่าพอใจ
เมื่อเขาพิจมองใบหน้าซูเหยียนอย่างละเอียดพบว่าแก้มของเขาแดงก่ำจนน่ากลัวเสียงหายใจหอบถี่ขึ้นน้ำใสเอ่อคลอในดวงตาทอประกายดั่งดวงดาวคู่นั้น
“เริ่มได้แล้วหรือไม่?” ฤทธิ์ยากำเริบซูเหยียนยากควบคุมร่างกายตนเป็นฝ่ายรุกเข้าหาแทน
“รีบร้อนอันใดหรือว่าเจ้าชมชอบข้าปรารถนาตัวข้าแต่แรกแล้ว?” ตี๋เยวี๋ยนฮว่ากระซิบกระซาบน้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่ามือใหญ่ไม่หยุดลูบไล้เรือนร่างบางปลดดึงสายรัดเอวเขาเหมือนตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ
ซูเหยียนนัยน์ตาดำขลับทอประกายจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของตี๋เหยี๋ยนฮว่าหายใจหอบหนัก “เจ้าเป็นลูกผู้ชายหรือไม่? ข้ากับเจ้าถูกยาสุขโอสถเหมือนกันรีบจัดการให้มันรวบรัดหมดจดเสียทีเถอะ?”
สิ้นเสียงเขาถูกตี๋เยวี๋ยนฮว่าผลักลงบนเตียงเสียงอุทานดังเอ๊ะสายรัดขาดสะบั้นสาบเสื้อถูกกระชากแบะอ้าออกเผยให้เห็นทรวงอกส่วนหนึ่ง
ซูเหยียนหอบหายใจเร่งเร้าหนักหน่วงทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลงผิวเนื้อที่โผล่พ้นออกมาชมพูระเรื่อยอดอกหดเกร็งเมื่อตี๋เยวี๋ยนฮว่าจับจ้อง
ตี๋เยวี๋ยวนฮว่าปลดอาภรณ์ออกจากร่างตนอย่างรวดเร็วก้มศีรษะใช้เรียวลิ้นหยาบโลนจุมพิตไล้เลียผิวเนื้อเกลี้ยงเกลาราวหยกของเขา
“ช้าก่อนเร็วไปแล้ว…” ซูเหยียนร้องห้ามเสียงดังทว่าไม่อาจหยุดยั้งตี๋เยวี๋ยนฮว่าได้ไม่นานทุกสัดส่วนทุกอนูบนร่างล้วนเปลือยเปล่าต่อสายตาตี๋เยวี๋ยนฮว่า
“เจ้าว่าเราเป็นลูกผู้ชายหรือยัง?” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าหรี่ตามองเขาวาจากระด้างเชือดเฉือน
ตี๋เยวี๋ยนฮว่านำความปรารถนากลางกายแนบนาบตรงหว่างขาร่างบางราวตั้งใจออกแรงบดเบียดย้ำๆหลายครา
ซูเหยียนรู้สึกเหมือนถูกแท่งเหล็กร้อนนาบไว้อย่างนั้นรุ่มร้อนจนเขาแทบร้องออกมา
ชั่วพริบตานั้นใบหน้ายิ่งแดงก่ำหอบหายใจสะท้านไม่หยุดสติสัมปชัญญะเลือนลางส่วนล่างร่างกายทั้งหมดของตี๋เยวี๋ยนฮว่าออกแรงกดทับร่างบางไว้ไม่ให้ขยับกายได้
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าสะกิดยอดอกแข็งเกร็งข้างหนึ่งพลางเอ่ยหยอกเย้า “ตอบมาสิ! เจ้าถูกยาสุขโอสถไม่ใช่ถูกยาทำให้เป็นใบ้”
ซูเหยียนหลับตาปี๋ไม่มองตี๋เยวี๋ยนฮว่าทว่าความรุ่มร้อนภายในกายทำให้เขาเบียดกายแนบชิดเข้าหาตี๋เยวี๋ยนฮว่าอย่างอดไม่ได้สิ่งที่ทำให้เขาขายหน้าอับอายขายหน้าที่สุดคือหลังจากที่ตี๋เยวี๋ยนฮว่าใช้ส่วนนั้นบดเบียดถูไถกับร่างกายเขาทำให้ความเป็นชายของเขาเกิดปฏิกิริยาขึ้นมาดุนดันท้องน้อยตี๋เยวี๋ยนฮว่าอึดอัดปวดปราบแล่นริ้วขึ้นมา
“ปรกติเจ้าปากมากเวลานี้กลับไร้วาจาเช่นนั้นให้ข้าจัดการเถอะ”
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าไม่ได้เกรงใจเขาอีกมือหนึ่งจัดการกระตุ้นยอดอกมือหนึ่งลูบไล้ลื่นไหลไปถึงบั้นท้ายแทรกนิ้วเข้าไป
ซูเหยียนไม่มีเรี่ยวแรงแม้ขยับกายทั้งยังไม่ได้ต่อต้านห้ามปรามกระทั่งยังรู้สึกรอคอยอยู่บ้างนิ้วมือเรียวยาวซุกซนของตี๋เยวี๋ยนฮว่าสอดเข้าไปในช่องทางด้านหลังความรู้สึกแปลกประหลาดฉับพลันนั้นทำให้อดมิได้ที่เปล่งเสียงครวญครางออกมา
“ไม่…” เขากัดริมฝีปากสองแก้มแดงซ่าน
“เจ้าไม่ต้องการเจ้าเหมียวแล้วหรือ?” นิ้วมือพลันชะงักสีหน้าตี๋เยวี๋ยนฮว่าเครียดขึงขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อสักครู่ไม่ได้ตกลงกันแล้วหรือผ่านไปชั่วประเดี๋ยวก็กลับคำเสียแล้ว?
หรือว่าเขาผู้นี้แสร้งเป็นยินยอมทั้งที่ไม่คิดเช่นนั้นยังคิดต่อรองกับเขาหวังผลอันใดกันแน่?
“ไม่ใช่…เจ้าต้องให้ข้าปรับตัวก่อน…”ซูเหยียนใบหน้าแดงก่ำเอ่ยวาจาอ้ำอึ้งเขาไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนแม้เคยแอบฟังอาจารย์กับอาจารย์หญิงกระทำเช่นนี้ทว่าแท้จริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกดังนั้นเขาจึงรู้สึกหวาดกลัว
“ครั้งแรกหรือ?” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าดูเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างหัวคิ้วที่ขมวดแน่นคลายออกเห็นซูเหยียนหน้าตาเรือนร่างงดงามทั้งยังรุกเข้าหาเขาก่อนจึงคิดว่าคงมีประสบการณ์ด้านนี้คาดไม่ถึงว่ายังเป็นเด็กไร้เดียงสาผู้หนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้คงไม่อาจรีบร้อนได้จริงๆหากเกิดความผิดพลาดขึ้นความเจ็บปวดล้วนไปลงกับซูเหยียนผู้เดียว
“ใช้สิ่งนี้…” ซูเหยียนท่าทางขัดเขินทว่ายังตอบคำพลิกร่างค้นหาขวดกระเบื้องเขียวครามขวดหนึ่งขึ้นมาได้จากกองเสื้อผ้าที่ตกข้างเตียงยัดใส่มือของตี๋เยวี๋ยนฮว่า
ตี๋เยวี๋ยนฮว่ามองขวดกระเบื้องในมืออย่างพิจารณา เมื่อเปิดผนึกออกได้กลิ่นใบโป๋วเหอ (11) สะอาดสดชื่นกำจายออกมาเมื่อมองเข้าไปด้านในขวดเห็นของเหลวสีเขียวใสไม่นานก็ทราบว่าของสิ่งนี้ใช้ทำอันใด
“เป็นเจ้าที่ตระเตรียมได้พร้อมพรักยิ่งกระทั่งสิ่งนี้ยังเตรียมไว้อย่างดี” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าดึงเรียวขาข้างหนึ่งของเขาขึ้นพาดบ่าจรดปากขวดไปบริเวณช่องทางด้านหลัง
“นี่เป็นยาสมานแผล…เจ้าไม่อาจแตะสัมผัส…” ซูเหยียนกัดริมฝีปากล่างแน่นวาจาต่อไปไม่ทราบว่าจะเอ่ยออกไปได้อย่างไร
“นี่สะดวกง่ายดายยิ่ง” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าไม่สนใจเขาใช้นิ้วหัวแม่มือกดตรงก้นขวดก่อนดันปากขวดให้เข้าไปในช่องทางช้าๆพริบตาหนึ่งก็เข้าไปได้ครึ่งขวดแล้ว
“พอแล้ว!” ซูเหยียนร้องออกมาคราหนึ่งยื่นมือออกไปดึงขวดที่ฝังอยู่ในร่างเขาออกทว่าถูตี๋เยวี๋ยนฮว่าปัดออก
เขารู้สึกเสียใจภายหลังที่มอบขวดยานี้ให้ตี๋เยวี๋ยนฮว่าหากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ให้เขาทำเองเสียดีกว่า
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าใช้นิ้วชี้ดีดก้นขวดที่อยู่ในร่างเขาคราหนึ่งรู้สึกถึงของเหลวในขวดไหลเข้าไปในร่างกายเขาพอสมควรแล้วยื่นมือออกไปดึงขวดออกกลิ่นใบโป๋วเหอระรินอ่อนจางปะทะใบหน้า
“คราหน้าเปลี่ยนเป็นกลิ่นอื่นบ้าง” ตี๋เยวี๋ยนฮว่ามุมปากหยักยกเอ่ยวาจาเรื่อยเปื่อย
แม้ใบโป๋วเหอจะทำให้สมองปลอดโปร่งทว่าเมื่อได้กลิ่นมากเข้าก็ทำให้รู้สึกไม่สบายนักเปลี่ยนเป็นกลิ่นดอกมะลิคงดีไม่น้อย
“เจ้าว่าอันใด?” ซูเหยียนได้ยินสิ่งที่ตี๋เยวี๋ยนฮว่าเอ่ยไม่ชัดเจนว่าบอกว่าอันใดพงกศีรษะขึ้นย้อนถามคำหนึ่ง
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าแต่เดิมวาจาน้อยอยู่แล้วเวลานี้ยิ่งไม่สนใจเขาแยกเรียวขาทั้งสองข้างออกส่งสองนิ้วแหวกว่ายเข้าไปในร่างกายเขาอย่างไม่ปรานีมีของเหลวนั้นช่วยทำให้ลื่นไหลครานี้เข้าไปได้ง่ายยิ่งกว่าเมื่อสักครู่มาก
เมื่อนิ้วมือเข้าไปแล้วกดเบียดของเหลวสีเขียวใสบางส่วนไหลย้อนออกมาไหลย้อยไปตามต้นขาเกลี้ยงเกลาหยดลงบนฟูกนอน
“อา…” ฤทธิ์ยาสุขโอสถกำเริบอีกครากระทั่งซูเหยียนคิดหุบขาเข้าหากันยังไร้ซึ่งเรี่ยวแรงรู้สึกว่าภายในร่างกายว่างเปล่าจนน่ากลัวนิ้วมือคล้ายไม่เพียงพอสำหรับเขา
เขาร้องครวญครางราวแตกสลายไม่ขาดปากเรือนร่างบิดเร่าไปมามไม่อาจทนทานได้น่องขาเล็กเรียวกระหวัดเกี่ยวขาตี๋เยวี๋ยนฮว่าไร้การควบคุมราวคาดหวังให้ร่างสูงรีบเข้ามาในร่างตน
“อา…อ๊ะ…ตรงนั้น…” เขาร้องพลางอ้าขาแยกออกกว้างพลางหยาดเหงื่อหลั่งโทรมกายความเป็นชายยิ่งมายิ่งร้อนรุ่มแข็งขืนเสียงครางกระเซ่าของร่างบางทำให้ความปรารถนาของตี๋เยวี๋ยนฮว่ายิ่งขยายใหญ่ขึ้น
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าต้องมนต์สะกดเรือนร่างงดงามทรงเสน่ห์ตรงหน้าดึงดูดไว้อดกลั้นน้ำลายไม่ให้ไหลย้อยออกมาได้ยากลำบากรู้สึกถึงความปรารถนาดั่งไฟแผดเผาโหมกระพือออกมาจากด้านในยิ่งเขาฝังหน้าลงดูดกลืนยอดอกสีอ่อนมือใหญ่เพลิดเพลินกับการแหวกว่ายเต้นรำเข้าออกในช่องทางคับแน่นอุ่นร้อน
เรือนร่างซูเหยียนสั่นระริกสองแขนยกขึ้นโอบศีรษะตี๋เยวี๋ยนฮว่าทั้งร่างแอ่นโค้งขึ้นราวคันศรบดเบียดเข้าหาร่างสูงใหญ่สติสัมปัจชัญญะถูกโยนทิ้งไปเบื้องหลัง
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าตะบมจุมพิตไล้เรื่อยลงมาจนถึงท้องน้อยแบนราบริมฝีปากร้อนไล้เล็มจุมพิตดูดซับผิวพรรณขาวสะอาดเรียบลื่นทิ้งรอยแดงระเรื่อราวกับประกาศความเป็นเจ้าของอย่างนั้น
ลิ้นร้อนของเขาไม่หยุดไล้เลียจากทรวงอกสะร่างมาถึงแอ่งสะดือจุมพิตครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ซูเหยียนทิ้งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและสติทั้งมวลไปตอบสนองตี๋เยวี๋ยนฮว่าอย่างเร่าร้อน
“มีอารมณ์แล้วสินะ…” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าเงยศีรษะขึ้นสายตาอันเร่าร้อนจ้องมองส่วนแข็งขืนตรงหน้าของคนใต้ร่าง
ความเป็นชายสีสวยสะอาดตาไม่อาจเทียบกับปีศาจร้ายตัวใหญ่ของเขาได้ทว่าน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋มยิ่งช่างสมตัวซูเหยียนเขาคว้ามันไว้ขยับเล่นขึ้นลงอย่างอดไม่ได้
“อ่า…อย่าจับ…ไม่ไหว…”ซูเหยียนอุทานเสียงแหลมเล็กเอวบิดเร่า
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาคงต้องปลดปล่อยออกมาก่อนเป็นแน่…!
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าไม่ได้ใส่ใจเขาฝังศีรษะลงไปดูดดึงส่วนน่ารักนั้นเอื้อมมือขึ้นกระชากดึงทึ้งสายรัดมวยผมตนออกโพลงปากยังคงครอบครองส่วนความเป็นชายไว้ขยับโอบดูดกลืนหลายคราก่อนใช้สายรัดพันมัดส่วนปลายไว้
“ขะขอร้องเจ้า…อย่าทรมานข้า…”ซูเหยียนจับแขนตี๋เยวี๋ยนฮว่าไว้แทบร่ำไห้ออกมารอมร่อ
นิ้วมือที่ฝังอยู่ในช่องทางขยับเร่งระดับความเร็วเข้าออกขึ้นของเหลวสีเขียวใสอุ่นร้อนหลั่งชโลมนิ้วมือดุดันพริ้วไหวทั้งยังกระเซ็นสาดเปรอะไปบนหน้าขาเขา
“อ๊า…” ซูเหยียนกรีดร้องปลดปล่อยออกมาจนหมดสิ้นดื่มด่ำเคลิบเคลิ้มสู่ห้วงลึกแห่งแรงปรารถนาไม่คิดถึงเรื่องราวอันใดอีก
ภายในช่องทางอ่อนนุ่มความแฉะชื้นหลั่งไหลชุ่มฉ่ำทำให้เรือนร่างบอบบางขยับเลื้อยเสียดสีกับเรือนร่างสูงใหญ่ของตี๋เยวี๋ยนฮว่าอย่างไม่รู้ตัวช่องทางรักขมิบรัดดูดกลืนนิ้วเรียวใหญ่มิยอมปลดปล่อย
“ไม่…”เมื่อนิ้วเรียวสอดใส่ลึกล้ำสะกิดโดนตำแหน่งหนึ่งภายในช่องทางสองแขนเขาโอบรัดลำคอตี๋เยวี๋ยนฮว่าแน่นร่างบางโกงตัวแนบติดกับร่างแกร่งอย่างควบคุมมิได้ศีรษะสะบัดไปมาราวกับถูกรุกเร้ารุนแรงจนไม่อาจทนทานได้เช่นนั้น
“ทนไม่ไหวก็ร้องออกมา” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าไม่ชอบให้เขากลั้นเสียงไว้นิ้วมือพลันเพิ่มแรงโหมสอดแทรกเท่าทวี
“อา…อืมอ๊ะอู้…” ซูเหยียนครวญครางไม่เป็นภาษาสองขาเรียวสั่นระริกน้อยๆการปลุกเร้าของตี๋เยวี๋ยนฮว่าทำให้เขาแทบละลายกลายเป็นธารน้ำสายหนึ่ง
“พร้อมแล้วหรือยัง?” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าขบเม้มยอดอกสีแดงอ่อนจางงดงามข้างหนึ่งลิ้นร้อนราวไฟไล้เลียไม่หยุดนิ้วมือทั้งสิบของซูเหยียนกดจิกลงไปบนแผ่นหลังแกร่งแน่น
“อืม…” ซูเหยียนพยักหน้าอย่างยากลำบากหลับตาแน่น
“เราจะเข้าไปแล้ว” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าคำรามเสียงทุ่มต่ำแหบพร่า
เรียวนิ้วใหญ่ผละจากช่องทางอันชุ่มฉ่ำพริบตานั้นซูเหยียนรู้สึกถึงความว่างเปล่าในร่างอย่างรุนแรง
“ไม่อย่าไป…”
“อย่าใจร้อนเรามาแล้ว”
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าอ้าเรียวขาขาวออกกว้างกดติดเตียงพยายามทำให้ส่วนบั้นท้ายของเขายกลอยขึ้นเส้นเลือดในดวงตาแดงระเรื่อจ้อมองช่องทางเล็กของเขาขมิบเดี๋ยวหดเดี๋ยวอ้าคำรามเสียงต่ำคราหนึ่ง
“เราเข้าไปแล้ว” ความเป็นชายอันแข็งแกร่งดุดันจรดปากทางเข้าก่อนส่งแรงเสือกสนเข้าไปชั่วขณะนั้นยังไม่ได้เข้าไปทั้งหมด
“อ๊ะ…” ความรู้สึกถูกเติมเต็มพลันทำให้ซูเหลียนสองตาเบิกกว้างหยาดเหงื่อปนเปกับหยาดน้ำตาไหลร่วงลงจากหางตาช้าๆ
ถ้อยคำวาจาทั้งหมดล้วนแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครวญครางนิ้วทั้งสิบจิกลงบนแผ่นหลังกว้างแกร่งหยาดน้ำคลออยู่ในตาล้วนปรากฏเงาสะท้อนของตี๋เยวี๋ยนฮว่า
“อดทนอีกนิดประเดี๋ยวก็ดีเอง” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าไม่อาจทนทานได้หยดเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลย้อยลงมาจากขมับ
คับแน่นกว่าที่คิดไว้แม้มีของเหลวช่วยลดความฝืดเคืองทว่ายังยากลำบากอยู่สักหน่อยหากไม่ใช่ว่าเขารั้งกายไว้ไม่ทุ่มแทงเข้าไปสุดแรงไม่อย่างนั้นคงทำให้ซูเหยียนเจ็บปวดยิ่ง
“ข้าไม่เป็นไร…” ซูเหยียนกัดริมฝีปากล่างใบหน้าซีดเซียวฝืนยิ้มออกมา
คิดไม่ถึงว่าจะเจ็บปวดรวดร้าวเช่นนี้ราวกับถูกดึงกระชากร่างเป็นสองส่วนหวังว่าความรู้สึกนี้จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“อย่าอวดดีค่อยๆเป็นค่อยๆไป” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าดึงรั้งส่วนล่างออกส่วนหนึ่งจัดการปรับเปลี่ยนท่าทางจากนั้นกดกายเข้าไปใหม่
“อ๊า…”
ครานี้ดีขึ้นกว่าเมื่อสักครู่มากนอกจากจะเจ็บปวดอยู่บ้างไม่ได้รู้สึกไม่สบายตัวอันใดยังให้ความรู้สึกที่แปลกไปอีกด้วย…
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ตี๋เยวี๋ยนฮว่าคร่อมร่างเขาไว้ระบายลมหายออกมาในที่สุด
ซูเหยียนหลับตาลงช้าๆซึมซับความรู้สึกซาบซ่านอันยากบรรยายที่ตี๋เยวี๋ยนฮว่ามอบให้เขารับรู้ถึงอุณหภูมิร้อนผ่าวของร่างแข็งแกร่งที่แนบสัมผัสกันยังอบอุ่นกว่าอ้อมกอดของอาจารย์
“มาเถอะข้าไม่เป็นไร” เขาพยักหน้า
ได้รับการอนุญาตจากเขามือใหญ่คู่นั้นประคองบั้นท้ายเขาไว้ก่อนกดกายสอดแทรกลงไปขยับเข้าออกอีกครั้งและอีกครั้งเสียดสีให้ช่องทางเกิดความรู้สึกฉับไวพาเขาเข้าสู่วังวนซาบซ่านหรรษาแห่งกามารมณ์
“อ่า…เร็วเกินไปแล้ว…”
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าโอบกอดเรือนร่างนิ่มนวลสดับฟังเสียงหอบหายใจครวญครางด้วยความสุขสมของซูเหยียนจนได้ยินเขาร่ำร้องอย่างทรมานตี๋เยวี๋ยนฮว่าถึงได้ปลดปล่อยสายคาดผมที่มัดพันอยู่แก่นกายของเขาออกให้พวกเขาจูงมือไต่เต้าขึ้นไปยังจุดสุดยอดของความปรารถนาด้วยกัน…
ซูเหยียนหลับตาลงนอนฟังเสียงหัวใจเต้นระรัวของตี๋เยวี๋ยนฮว่าเงียบๆสัมผัสแรงหอบสะท้านของทรวงอกแกร่ง
ฤทธิ์ยาสุขโอสถสลายไปพอสมควรแล้วสำหรับการปลดปล่อยเมื่อสักครู่ซูเหยียนรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง
“ปล่อยเจ้าเหมียวได้แล้วใช่หรือไม่?” เขาเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
ตี๋เยวี๋ยนฮว่าไม่ได้ตอบคำพลิกร่างบางให้นอนฟุบคว่ำสอดแทรกความปรารถนาเข้าไปอีกครั้งเริ่มถอนฤทธิ์ยาระลอกใหม่